คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1286/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำว่า”ชื่อ” ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1081 และ1082 ย่อมหมายถึง ชื่อสกุลด้วย เมื่อจำเลยที่ 4 ที่ 5 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดยอมให้ใช้ชื่อสกุลของตนระคนเป็นชื่อห้าง จำเลยที่ 4 ที่ 5 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกเสมือนเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ ๔ ที่ ๕ เป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิด แต่ยอมให้ใช้ชื่อสกุล “สรณคมน์” มาเป็นชื่อห้างจำเลยที่ ๑ โจทก์ได้ทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินจากจำเลยที่ ๑ โดยชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้ว แต่จำเลยที่ ๑ ไม่ยอมโอนที่ดินแก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ โอนที่ดินแก่โจทก์ หากโอนไม่ได้ให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันใช้เงินแก่โจทก์ ๑๑๒,๕๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา จำเลยที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๔ ที่ ๕ ให้การว่า จำเลยที่ ๔ ไม่ได้ยินยอมให้ใช้ชื่อระคนชื่อห้าง จำเลยที่ ๔ ที่ ๕ ได้โอนขายกิจการให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ไปแล้ว จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ โอนที่ดินตามฟ้องให้โจทก์ หากโอนไม่ได้ให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันใช้เงินจำนวน ๑๑๒,๕๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ ๔ ที่ ๕ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๔ ที่ ๕ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ ๔ ที่ ๕ ฎีกาว่า จำเลยที่ ๔ ที่ ๕ ได้โอนขายกิจการของจำเลยที่ ๑ ให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ไปก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ โจทก์ทราบดีมาแต่แรกแล้วว่าจำเลยที่ ๔ ที่ ๕ เป็นหุ้นส่วนที่จำกัดความรับผิด การที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ ๔ ที่ ๕ ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตนั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๔ ที่ ๕ ให้ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ก็ด้วยเหตุผลที่จำเลยที่ ๔ ที่ ๕ ยอมให้ใช้ชื่อสกุล สรณคมน์ ของจำเลยที่ ๔ ที่ ๕ มาใช้เป็นชื่อของจำเลยที่ ๑ ซึ่งจำเลยที่ ๔ ที่ ๕ จะต้องรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกเสมือนดังว่าเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๐๘๒ วรรคหนึ่ง โจทก์ฟ้องคดีนี้จึงเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริต โจทก์มีอำนาจฟ้อง ที่จำเลยที่ ๔ ที่ ๕ ฎีกาเป็นข้อสุดท้ายว่า จำเลยที่ ๔ ที่ ๕ ไม่ได้เอาชื่อตัวมาใช้ระคนเป็นชื่อจำเลยที่ ๑ หากแต่เอาชื่อสกุลมาใช้จึงไม่ต้องรับผิดเสมือนเป็นหุ้นส่วนที่ไม่จำกัดความรับผิด จำเลยที่ ๔ ที่ ๕ จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ นั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๐๘๑ บัญญัติว่า “ห้ามมิให้เอาชื่อของผู้เป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดมาเรียกขานระคนเป็นชื่อห้าง” และมาตรา ๑๐๘๒ บัญญัติว่า “ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดคนใดยินยอมโดยแสดงออกชัด หรือโดยปริยายให้ใช้ชื่อของตนระคนเป็นชื่อห้างไซร้ ท่านว่าผู้เป็นหุ้นส่วนคนนั้นจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกเสมือนดั่งว่าเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดฉะนั้น” คำว่า “ชื่อ” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ มิได้ทั้งชื่อตัว ชื่อเล่น และชื่อสกุล ด้วยและวิญญูชนทั่วไปก็เข้าใจว่าชื่อสกุลมีความสำคัญยิ่งกว่าชื่อตัว ดังนั้น คำว่า “ชื่อ” ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๐๘๑ และมาตรา ๑๐๘๒ ย่อมหมายถึงชื่อสกุลด้วย จำเลยที่ ๔ ที่ ๕ จึงต้องรับผิดต่อโจทก์เสมือนผู้เป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ตามฟ้อง
พิพากษายืน

Share