คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1255/2496

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทเป็นที่ไม่มีหนังสือสำคัญ ซึ่งโจทก์ได้สิทธิครอบครองโดยซื้อมาจากผู้มีชื่อ และโจทก์ได้เข้าครอบครองในที่นั้นแล้ว จำเลยให้การว่าจำเลยได้เข้าไปบุกร้างถางป่าตรงที่พิพาททำมรรคผล กับปลูกเรือนอยู่ และทำการล้อมรั้วเป็นเขตคันทั้ง 4 ด้าน มาจนบัดนี้เป็นเวลาประมาณ 30 ปีแล้วนั้น จะถือว่าคำให้การจำเลยเช่นนี้เป็นคำให้การที่ต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นที่บ้านที่สวนหาได้ไม่ เพราะมิได้แสดงไว้โดยชัดแจ้งในคำให้การจำเลยตามนัยแห่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 ฉะนั้นจึงต้องถือว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า
ขายที่ดินมือเปล่าให้แก่เขาไปโดยรับเงินค่าที่ดินครบถ้วนแล้วและมอบที่ดินให้เขาครอบครองแล้วก็ย่อมถือได้ว่าผู้ขายเจตนาสละการครอบครอง และไม่ยึดถือที่ดินต่อไป

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ศาลแสดงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์และให้ขับไล่จำเลย

จำเลยต่อสู้ว่าเป็นที่ของจำเลย

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าสิทธิครอบครองที่พิพาทเป็นของโจทก์ให้จำเลยและบริวารออกจากที่พิพาท

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาประชุมปรึกษาแล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทเป็นที่ไม่มีหนังสือสำคัญ ซึ่งโจทก์ได้สิทธิครอบครองโดยซื้อมาจากนายไอ และโจทก์ได้เข้าครอบครองที่นี้แล้ว ส่วนคำให้การจำเลยซึ่งมีข้อความว่าจำเลยได้เข้าไปบุกร้างถางป่าตรงที่พิพาทนี้ทำมรรคผล กับปลูกเรือนอยู่ และทำการล้อมรั้วเป็นเขตคันทั้ง 4 ด้านจนบัดนี้เป็นเวลาประมาณ 30 ปีแล้วนั้น จะถือว่าคำให้การของจำเลยเช่นนี้เป็นคำให้การที่ต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นที่บ้านที่สวนนั้นหาได้ไม่ เพราะจำเลยมิได้แสดงไว้โดยชัดแจ้งในคำให้การของจำเลยตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 ฉะนั้นที่พิพาทในคดีนี้จึงต้องถือว่าเป็นที่มือเปล่า ฉะนั้นการที่จำเลยขายให้แก่นางบุญธรรมภรรยานายไอไปโดยรับเงินค่าที่ดินครบถ้วนและมอบที่ดินให้นางบุญธรรมครอบครองแล้วเช่นนี้ ก็ย่อมถือได้ว่าจำเลยสละเจตนาครอบครองและไม่ยึดถือที่ดินต่อไป จำเลยย่อมหมดสิทธิในที่รายนี้ โจทก์ผู้ซื้อที่รายนี้ต่อมา และได้เข้าครอบครองที่แล้วย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้ จึงพิพากษากลับศาลอุทธรณ์ให้บังคับคดีตามศาลชั้นต้น

Share