คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1192/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาและคำสั่งของศาลอุทธรณ์ในวันที่2กุมภาพันธ์2538โดยได้มีการส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาและคำสั่งของศาลอุทธรณ์ให้ทนายจำเลยทั้งสองทราบนัดโดยการปิดหมายตามคำสั่งศาลที่สำนักทำการงานเมื่อวันที่29ธันวาคม2537ทั้งแจ้งวันนัดให้จำเลยที่1และที่2ทราบโดยการปิดหมายที่ภูมิลำเนาของจำเลยทั้งสองตามฟ้องด้วยเมื่อวันที่15มกราคม2538แต่ปรากฎว่าทั้งโจทก์และจำเลยทั้งสองไม่มาฟังคำพิพากษาและคำสั่งของศาลอุทธรณ์ศาลชั้นต้นจึงงดการอ่านโดยถือว่าได้อ่านคำพิพากษาและคำสั่งของศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังแล้วเมื่อปิดหมายแจ้งวันนัดให้ทราบตามคำสั่งศาลเป็นการส่งโดยวิธีอื่นแทนทำให้มีผลใช้ได้ต่อเมื่อกำหนดเวลาสิบห้าวันได้ล่วงพ้นไปแล้วนับตั้งแต่เวลาที่ได้ปิดหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา79วรรคสองฉะนั้นสำหรับทนายจำเลยทั้งสองจึงต้องถือว่าได้ทราบวันนัดฟังคำพิพากษาและคำสั่งของศาลอุทธรณ์โดยชอบตั้งแต่วันที่มกราคม2538ส่วนจำเลยที่1และที่2ถือว่าได้ทราบวันนัดโดยชอบตั้งแต่วันที่31มกราคม2538เมื่อคู่ความไม่มีฝ่ายใดมาศาลในวันนัดฟังคำพิพากษาและคำสั่งของศาลอุทธรณ์ในวันที่2กุมภาพันธ์2538การที่ศาลชั้นต้นได้จดแจ้งรายงานไว้ด้านหลังคำพิพากษาและคำสั่งของศาลอุทธรณ์ให้งดการอ่านโดยถือว่าได้อ่านคำพิพากษาและคำสั่งของศาลอุทธรณ์ให้โจทก์และจำเลยทั้งสองฟังโดยชอบด้วยกฎหมายในวันที่2กุมภาพันธ์2538นั้นชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความมาตรา140(3)วรรคสองแล้วเมื่อจำเลยทั้งสองและโจทก์มิได้ฎีกาคำพิพากษาและคำสั่งของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาและคำสั่งของศาลอุทธรณ์นั้นคำพิพากษาและคำสั่งของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวจึงถึงที่สุดนับแต่วันที่3มีนาคม2538เป็นต้นมาแล้วการที่จำเลยทั้งสองเพิ่งมายื่นคำร้องเมื่อวันที่26มิถุนายน2538ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่จำหน่ายคดีฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองซึ่งถึงที่สุดแล้วหาได้ไม่และเมื่อจำเลยทั้งสองได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นซึ่งขณะนั้นคดีมิได้อยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์แต่อย่างใดศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจสั่งคำร้องของจำเลยทั้งสองได้ตามอำนาจทั่วไปตามลำดับชั้นศาล

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 98,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 218,000 บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ส่วนอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองสั่งว่า จำเลยทั้งสองไม่ปฎิบัติตามคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งให้ส่งสำเนาฟ้องอุทธรณ์ให้แก่โจทก์เป็นการทิ้งอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 174 (2) ประกอบมาตรา 246 ให้จำหน่ายอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองออกจากสารบบความของศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาและคำสั่งศาลอุทธรณ์ดังกล่าวในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2538 คู่ความทั้งสองฝ่ายไม่ไปตามนัด ศาลชั้นต้นจึงงดอ่านคำพิพากษาและคำสั่งดังกล่าว โดยถือว่าได้อ่านคำพิพากษาและคำสั่งของศาลอุทธรณ์ให้คู่ความทั้งสองฟังโดยชอบแล้ว
ต่อมาวันที่ 26 มิถุนายน 2538 จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องว่าจำเลยทั้งสองมิได้ไม่ปฎิบัติตามคำสั่งของศาลชั้นต้น กล่าวคือจำเลยทั้งสองได้นำส่งสำเนาคำฟ้องอุทธรณ์ให้แก่โจทก์โดยชอบแล้วปรากฎตามรายงานการเดินหมายของพักงานเดินหมายในสำนวน ขอให้เพิกถอนคำส่งจำหน่ายคดีฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองและให้รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาและพิพากษาต่อไป ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีถึงที่สุดแล้วจึงไม่รับคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับจำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่ปรากฎในสำนวนรับฟังได้ว่าศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาและคำสั่งของศาลอุทธรณ์ในวันที่2 กุมภาพันธ์ 2538 โดยได้มีการส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาและคำสั่งของศาลอุทธรณ์ให้นายชวงลิต ตันทนาภรณ์กุล ทนายจำเลยทั้งสองทราบนัดโดยการปิดหมายตามคำสั่งศาลที่สำนักงานเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม2537 ทั้งแจ้งวันนัดให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ทราบ โดยการปิดหมายที่ภูมิลำเนาของจำเลยทั้งสองตามฟ้องด้วย เมื่อวันที่ 15 มกราคม2538 แต่ปรากฎว่าทั้งโจทก์และจำเลยทั้งสองไม่มาฟังคำพิพากษาและคำสั่งของศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นจึงงดอ่านโดยถือว่าได้อ่านคำพิพากษาและคำสั่งของศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังแล้ว ตามรายงานที่บันทึกไว้หลังคำพิพากษาและคำสั่งของศาลอุทธรณ์ ต่อมาวันที่26 มิถุนายน 2538 จำเลยทั้งสองได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้เพิกถอนคำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่สั่งให้จำหน่ายคดีในส่วนอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อแรกว่า จำเลยทั้งสองทราบวันนัดฟังคำพิพากษาและคำสั่งขอศาลอุทธรณ์โดยชอบหรือไม่ และการที่ศาลชั้นต้นงดการอ่านคำพิพากษาและคำสั่งนั้นถือได้หรือไม่ว่าจำเลยทั้งสองได้ทราบคำพิพากษาและคำสั่งแล้วศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังกล่าวข้างต้นว่าศาลชั้นต้นได้นัดฟังคำพิพากษาและคำสั่งของศาลอุทธรณ์ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์2538 โดยสั่งให้แจ้งวันนัดให้ทราบโดยวิธีปิดหมาย และเจ้าพนักงานศาลได้ปิดหมายที่สำนักงานของนายเชาวลิต ตันทนาภรณ์กุล ทนายจำเลยทั้งสอง เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2537 ทั้งได้ปิดหมายแจ้งวันนัดให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ทราบ ที่ภูมิลำเนาของจำเลยทั้งสอง เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2538 ด้วย ดังนั้น กรณีที่มีการปิดหมายแจ้งวันนัดให้ทราบตามคำสั่งศาลจึงเป็นการส่งโดยวิธีอื่นแทน ทำให้มีผลใช้ได้ต่อเมื่อกำหนดเวลาสิบห้าวันได้ล่วงพ้นไปแล้วนับตั้งแต่เวลาที่ได้ปิดหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา79 วรรคสอง ฉะนั้น สำหรับทนายจำเลยทั้งสองจึงต้องถือว่าได้ทราบวันนัดฟังคำพิพากษาและคำสั่งของศาลอุทธรณ์โดยชอบตั้งแต่วันที่14 มกราคม 2538 ส่วนจำเลยที่ 1 และที่ 2 ถือว่าได้ทราบวันนัดโดยชอบตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม 2538 เมื่อคู่ความไม่มีฝ่ายใดมาศาลในวันนัดฟังคำพิพากษาและคำสั่งของศาลอุทธรณ์ในวันที่2 กุมภาพันธ์ 2538 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 140 (3)วรรคสอง บัญญัติว่า “ถ้าคู่ความไม่มาศาล ศาลจะงดการอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งก็ได้ ในกรณีเช่นว่านี้ ให้ศาลจดแจ้งไว้ในรายงานและให้ถือว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้อ่านตามกฎหมายแล้ว” ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นได้จดแจ้งรายงานไว้ด้านหลังคำพิพากษาและคำสั่งของศาลอุทธรณ์ว่า “นัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์วันนี้ แจ้งนัดให้คู่ความทราบโดยชอบแล้วไม่มีใครมาจึงให้งดการอ่านโดยถือว่าได้อ่านให้คู่ความฟังโดยชอบแล้ว แจ้งการอ่านไปศาลอุทธรณ์” กรณีดังกล่าวจึงถือได้ว่าคำพิพากษาและคำสั่งของศาลอุทธรณ์ได้อ่านให้โจทก์และจำเลยทั้งสองฟังโดยชอบด้วยกฎหมาย ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2538แล้ว ส่วนการที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าเพิ่งทราบนัดฟังคำพิพากษาและคำสั่งของศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2538 โดยการตรวจสำนวนนั้นไม่อาจรับฟังได้ดังที่วินิจฉัยไว้ข้างต้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อสุดท้ายว่ามีเหตุสมควรที่จะเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองและรับฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาหรือไม่ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาและคำสั่งของศาลอุทธรณ์ให้คู่ความทราบโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ในวันที่ 2กุมภาพันธ์ 2538 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 147วรรคสอง บัญญัติว่า “คำพิพากษาหรือคำสั่งใด ซึ่งอาจอุทธรณ์ ฎีกาหรือมีคำขอให้พิจารณากำหนดใหม่ได้นั้น ถ้ามิได้อุทธรณ์ ฎีกาหรือร้องขอให้พิจารณาใหม่ภายในเวลาที่กำหนดไว้ ให้ถือว่าเป็นที่สุดตั้งแต่ระยะเวลาเช่นว่านั้นได้สิ้นสุดลง ฯลฯ” ดังนี้ เมื่อจำเลยทั้งสองและโจทก์มิได้ฎีกาคำพิพากษาและคำสั่งของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วนที่ได้อ่านคำพิพากษาและคำสั่งของศาลอุทธรณ์นั้นคำพิพากษาและคำสั่งของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวจึงถึงที่สุดนับแต่วันที่ 3 มีนาคม 2538 เป็นต้นมาแล้ว การที่จำเลยทั้งสองเพิ่งมายื่นคำร้องเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2538 ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่จำหน่ายคดีฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองซึ่งถึงที่สุดแล้วหาได้ไม่ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 697/2518ระหว่างนายยงยุทธ เสนาจักร์ โจทก์ นายชวัติ วัฒนเสรี กับพวกจำเลย คุณหญิงอัมพร ทิพยมณเฑียร ผู้ร้อง ฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้น อนึ่งเมื่อจำเลยทั้งสองได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นและขณะนั้นคดีมิได้อยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์แต่อย่างใดศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งคำร้องของจำเลยทั้งสองได้ตามอำนาจทั่วไปตามลำดับชั้นศาล การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำร้องของจำเลยทั้งสองซึ่งถึงที่สุดแล้วไว้พิจารณาจึงเป็นการชอบแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า อำนาจในการสั่งคำร้องของจำเลยทั้งสองลงวันที่ 26มิถุนายน 2538 เป็นของศาลอุทธรณ์ ให้เพิกถอนคำสั่งไม่รับคำร้องของศาลชั้นต้นและพิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษากลับเป็นว่า ให้บังคับไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น

Share