คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 149/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คำเบิกความของผู้เสียหายที่อ้างว่าจำหน้าจำเลยซึ่งเป็นคนร้ายที่ข่มขืนกระทำชำเราตนเป็นคนที่สองได้ขัดกับคำเบิกความของพนักงานสอบสวนที่ว่าผู้เสียหายแจ้งว่าจำหน้าคนที่ข่มขืนไม่ได้และไม่รู้จักชื่อส่วนที่ผู้เสียหายชี้ตัวจำเลยได้ถูกต้องนั้นก็เพราะผู้บังคับบัญชาของจำเลยนำจำเลยออกมาให้ผู้เสียหายชี้ตัวเพียงคนเดียวเมื่อจำเลยให้การปฏิเสธตลอดมาตั้งแต่ชั้นสอบสวนจนถึงชั้นศาลพยานหลักฐานโจทก์จึงมีเหตุสงสัยว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ร่วมกับพวกข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายหรือไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกอีก 3 คน ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงผู้เสียหาย อายุไม่เกิน 15 ปี อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277, 83
จำเลย ให้การ ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคสาม, 83 ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุ มีชายคนร้าย 4 คน ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายซึ่งมีอายุไม่เกิน 15 ปี อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าจำเลยเป็นคนร้ายร่วมกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเบิกความว่าเห็นจำเลยดื่มสุราอยู่กับนายบอยเพื่อนของผู้เสียหายที่ไปเที่ยวงานด้วยกัน เมื่อผู้เสียหายจะกลับบ้านแต่ไม่พบนายบอยจำเลยบอกผู้เสียหายว่านายบอยกลับไปแล้วและรับจะพาผู้เสียหายไปส่งบ้าน และจำเลยรับปากว่าจะไม่ทำอะไร ผู้เสียหายจึงยอมนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่จำเลยขับไปได้ประมาณ 1 กิโลเมตร ถึงกระท่อมนาที่เกิดเหตุจำเลยให้ผู้เสียหายลงจากรถและบังคับให้ผู้เสียหายถอดเสื้อผ้าโดยขู่ว่าจะทำร้ายผู้เสียหายจึงยอมถอดและถูกจำเลยกับพวกผลัดกันข่มขืนกระทำชำเรา หลังจากนั้นจำเลยได้พาผู้เสียหายนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไปส่งที่ถนนในหมู่บ้านเหม่าผู้เสียหายไปขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านและได้ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษว่า จำหน้าคนร้ายได้คนเดียวคือจำเลยซึ่งข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเป็นคนที่สอง ขัดกับคำเบิกความของพันตำรวจโทสงคราม จำเริญ พนักงานสอบสวนว่า พยานได้รับแจ้งความจากผู้เสียหายว่าผู้เสียหายถูกข่มขืนแต่ผู้เสียหายแจ้งว่าจำหน้าคนที่ข่มขืนไม่ได้และไม่รู้จักชื่อพยานจึงบอกให้ผู้เสียหายไปสืบหาตัว คำเบิกความของผู้เสียหายที่ว่าผู้เสียหายจำจำเลยได้จึงขัดต่อเหตุผล ผู้เสียหายเบิกความต่อไปว่า หลังเกิดเหตุผู้เสียหายไปหานายบ๋อยคนบ้านเหม่าสอบถามว่ารถจักรยานยนต์คันสีแดงที่จำเลยขับขี่พาผู้เสียหายไปที่เกิดเหตุเป็นของใครนายบ๋อยแจ้งว่าเป็นของจำเลยและบอกชื่อจำเลยผู้เสียหายจึงไปแจ้งเรื่องให้เจ้าพนักงานตำรวจทราบ แต่โจทก์ไม่ได้นำตัวนายบ๋อยมาเบิกความสนับสนุนข้อเท็จจริงดังกล่าวคงมีแต่ผู้เสียหายปากเดียวเบิกความลอย ๆ แต่จำเลยมีนายเดชา อารีย์เบิกความว่า เป็นคนบ้านอยู่ตำบลเดียวกับจำเลย มีชื่อเล่นว่าบ๋อย ในคืนเกิดเหตุเห็นผู้เสียหายกำลังเต้นกับเพื่อนผู้หญิงที่หน้าเวทีหมอลำ แต่ไม่ได้เห็นจำเลยในบริเวณงาน ส่วนที่ผู้เสียหายชี้ตัวจำเลยได้ถูกต้องนั้น ได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายตอบทนายจำเลยถามค้านว่า การชี้ตัวจำเลยผู้บังคับบัญชาของจำเลยนำจำเลยออกมาให้ผู้เสียหายชี้ตัวเพียงคนเดียว การที่ผู้เสียหายชี้ตัวจำเลยถูกต้องจึงไม่น่าเชื่อเพราะผู้เสียหายจำจำเลยได้ ชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธตลอดมาจนชั้นศาล พยานหลักฐานโจทก์จึงมีเหตุสงสัยว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ร่วมกับพวกข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำเลยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้อง

Share