แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ในวันนัดสืบพยานจำเลยครั้งแรก ทนายจำเลยขอเลื่อนคดีโดยอ้างว่าป่วยศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนคดีโดยได้กำชับให้เตรียมพยานมาศาลให้พร้อมเพราะจะไม่เลื่อนคดีให้อีก เมื่อถึงวันนัดทนายจำเลยกลับให้เสมียนทนายนำคำร้องขอถอนตัวจากการเป็นทนายความของจำเลยทั้งสองมายื่นแทน แต่มิได้แจ้งการถอนตัวให้ตัวความทราบโดยข้ออ้างที่ว่าไม่สามารถติดต่อจำเลยทั้งสองได้มาซึ่งไม่น่าเชื่อ พฤติการณ์ถือได้ว่าฝ่ายจำเลยมีเจตนาประวิงคดีให้ชักช้าการที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้ทนายจำเลยถอนตัวจากการเป็นทนายความของจำเลยทั้งสองและงดสืบพยานจำเลยจึงชอบแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินตามสัญญาทรัสต์รีซีทเป็นจำนวน 233,997.10 บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ19 ต่อปีในต้นเงิน 99,324.20 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดี
ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายนำสืบก่อนเสร็จแล้วมีคำสั่งให้เลื่อนไปสืบพยานจำเลยในวันที่ 3 กรกฎาคม 2528 เมื่อถึงวันนัด ทนายจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี โดยอ้างว่าป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ มีอาการอ่อนเพลีย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้เลื่อนไปสืบพยานจำเลยในวันที่ 29 กรกฎาคม 2528 และกำชับให้เตรียมพยานมาให้พร้อม เพราะจะไม่เลื่อนคดีให้อีก ครั้นถึงวันนัดดังกล่าวจำเลยทั้งสองและทนายไม่มา โดยทนายจำเลยมอบฉันทะให้เสมียนทนายนำคำร้องขอถอนตัวจากการเป็นทนายความของจำเลยทั้งสองมายื่น ศาลชั้นต้นไม่อนุญาต และถือว่าจำเลยไม่ติดใจสืบพยาน ให้งดสืบพยานจำเลย แล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน99,647.99 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2520 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ (ดอกเบี้ยก่อนฟ้องต้องไม่เกิน 134,349.11 บาท) ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท
จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ทนายจำเลยถอนตัวและงดสืบพยานจำเลยเป็นการไม่ชอบ ขอให้ศาลชั้นต้นสืบพยานจำเลยแล้วพิพากษาใหม่
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าทนายความแทนโจทก์ 1,000 บาท
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาในชั้นนี้ว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ทนายจำเลยถอนตัวจากการเป็นทนายความของจำเลยทั้งสอง และงดสืบพยานจำเลยนั้นชอบหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 65 ได้ บัญญัติให้ทนายความที่จะมีคำขอต่อศาลให้สั่งถอนตนจากการตั้งแต่งได้ ต้องแสดงให้เป็นที่พอใจแก่ศาลว่าทนายความผู้นั้นได้แจ้งให้ตัวความทราบแล้ว เว้นแต่จะหาตัวความไม่พบ คดีนี้ปรากฏจากหลักฐานสำเนาทะเบียนท้ายคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องของโจทก์ลงวันที่28 มีนาคม 2528 ว่า จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านเลขที่ 336 ซอยชลนิเวศน์ตำบลลาดยาว อำเภอบางเขน กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่ พ.ศ. 2515โดยไม่ปรากฏว่ามีการย้ายออกจากภูมิลำเนาดังกล่าว ส่วนจำเลยที่ 1ก็ไม่ปรากฏหลักฐานการเปลี่ยนแปลงภูมิลำเนาทางทะเบียนตามคำฟ้องแต่อย่างใด ทั้งได้ความจากคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีในชั้นอุทธรณ์และในชั้นฎีกา ซึ่งทนายจำเลยผู้นี้เป็นผู้ดำเนินกระบวนพิจารณาแทนจำเลยทั้งสองว่าฐานะของจำเลยทั้งสองมั่นคั่งถาวร โดยมีกิจการค้ามากมายหลายประการดังนั้นที่ทนายจำเลยอ้างมาในคำร้องขอถอนตัวจากการเป็นทนายความของจำเลยทั้งสองว่า ไม่สามารถจะติดต่อกับจำเลยได้เพราะจำเลยได้ย้ายสถานที่ทำงานจากเดิมไปอยู่ที่แห่งใหม่จึงไม่น่าเชื่อ คำร้องของทนายจำเลยที่ไม่แจ้งการขอถอนตัวจากการเป็นทนายความของจำเลยทั้งสอง จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น เมื่อพิจารณาถึงว่า ในวันนัดสืบพยานจำเลยครั้งแรก ทนายจำเลยผู้นี้ได้ขอเลื่อนคดีโดยอ้างว่าป่วย และศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนคดี โดยได้กำชับให้เตรียมพยานมาศาลให้พร้อม เพราะจะไม่เลื่อนคดีให้อีก เมื่อถึงวันนัดทนายจำเลยกลับให้เสมียนทนายนำคำร้องขอถอนตัวจากการเป็นทนายความของจำเลยทั้งสองมายื่นแทน โดยข้ออ้างที่ว่าไม่สามารถติดต่อจำเลยทั้งสองได้ ซึ่งไม่น่าเชื่อดังกล่าวข้างต้น พฤติการณ์เช่นนี้จึงเป็นที่เห็นได้ว่าฝ่ายจำเลยมีเจตนาประวิงคดีให้ชักช้าเมื่อในวันนัดสืบพยานจำเลย จำเลยไม่มีพยานมาศาล การที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้ทนายจำเลยถอนตัวจากการเป็นทนายความของจำเลยทั้งสองและงดสืบพยานจำเลยจึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา1,000 บาท แทนโจทก์”