แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
คนขับรถของโจทก์ที่ 1 ขับรถผ่านทางแยกด้วยความเร็วสูงเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ไม่ลดความเร็วและไม่ห้ามล้อเมื่อเห็นรถจำเลยแล่นผ่านทางแยกอยู่ข้างหน้าโดยถือว่ารถคันที่ตนขับแล่นอยู่ในทางเอก แม้รถจำเลยจะแล่นมาจากทางโท แต่รถจำเลยไปถึงสี่แยกที่เกิดเหตุซึ่งเป็นทางร่วมก่อนจำเลยมีสิทธิขับรถผ่านทางแยกไปก่อนได้ เมื่อรถของโจทก์ที่ 1 ชนรถจำเลยจึงถือว่าเป็นความประมาทของคนขับรถโจทก์ที่ 1 แต่ฝ่ายเดียว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายฐานละเมิดแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิฉัยข้อกฎหมายว่า “คดีมีปัญหาว่า เหตุที่รถชนกันเป็นเพราะนายลาดคนขับรถโจทก์ที่ 1 หรือจำเลย ขับรถโดยประมาทโจทก์ที่ 1 ไม่มีประจักษ์พยานเข้าเบิกความเลยว่าเหตุใดรถจึงชนกัน คงกล่าวอ้างในฎีกาเพียงว่า รถโจทก์ที่ 1 แล่นมาในทางเอก ส่วนรถจำเลยแล่นมาในทางโท รถจำเลยถูกชนกลางคันตั้งแต่ประตูหลังไปทางท้ายรถบนผิวจราจรของถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ซึ่งเป็นทางเอก และไม่ปรากฏรอยห้ามล้อของรถโจทก์ที่ 1 ก่อนถึงจุดชนต้องฟังว่าจำเลยขับรถโดยประมาทเพราะขับรถออกจากทางโทตัดหน้ารถโจทก์ที่ 1ซึ่งแล่นมาในทางเอกโดยกระชั้นชิด ศาลฎีกาเห็นว่า รถที่นายลาดขับเป็นรถบรรทุกสิบล้อซึ่งมีที่นั่งคนขับสูงกว่ารถเก๋ง นายลาดย่อมเห็นรถจำเลยก่อนที่รถจำเลยจะแล่นตัดหน้าในระยะไกลพอสมควร นายลาดควรระมัดระวังด้วยการลดความเร็วของรถเมื่อเห็นรถจำเลยจะแล่นผ่านทางแยกตัดหน้า และพร้อมที่จะห้ามล้อก่อนถึงจุดชน แต่ปรากฏตามแผนที่เกิดเหตุว่า ก่อนถึงจุดชนไม่มีรอยห้ามล้อของรถโจทก์ที่ 1 เพิ่มเริ่มมีรอยห้ามล้อเมื่อเลยจุดชนไปแล้ว70 เซ็นติเมตร และกว่ารถโจทก์ที่ 1 จะหยุดได้ก็เลยจุดชนถึง 62.30 เมตร ทั้ง ๆ ที่มีรอยห้ามล้อของรถโจทก์ที่ 1 เป็นระยะยาว และเมื่อชนรถจำเลยแล้วรถโจทก์ที่ 1 ยังพุ่งเข้าชนรถเสียซึ่งจอดอยู่ที่ไหล่ถนนและรั้วของกองทัพอากาศแล้วจึงตกลงไปในคูข้างถนน ประกอบกับร้อยตำรวจโทลือสินพนักงานสอบสวนซึ่งโจทก์ที่ 1 และจำเลยอ้างเป็นพยานร่วมกันเบิกความว่า มีความเห็นสั่งฟ้องนายลาดในข้อหาว่าขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและบาดเจ็บสาหัส เพราะนายลาดขับรถด้วยความเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดแสดงว่านายลาดขับรถผ่านทางแยกด้วยความเร็วสูงเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไม่ลดความเร็วและไม่ห้ามล้อเมื่อเห็นรถจำเลยแล่นผ่านทางแยกอยู่ข้างหน้าทั้งนี้โดยถือว่ารถคันที่ตนขับแล่นอยู่ในทางเอก หรือไม่ก็ไม่ได้ระมัดระวังดูแลว่ามีรถคันใดแล่นผ่านทางแยกข้างหน้าในทางเดินรถของตนบ้าง จึงไม่มีรอยห้ามล้อของรถโจทก์ที่ 1 ก่อนจุดชน ส่วนจำเลยเบิกความว่า เหตุที่จำเลยหยุดรถบนผิวจราจรของถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ เพราะรถจิ๊ปคันที่แล่นอยู่หน้ารถจำเลยหยุดตรงด่ายตรวจรถยนต์ของกองทัพอากาศ รถจำเลยจึงต้องหยุดด้วย และรถโจทก์ที่ 1 ชนรถจำเลยในขณะที่รถจำเลยกำลังจอดอยู่ และเบิกความตอบคำถามค้านของทนายโจทก์ที่ 1 ว่า วันเกิดเหตุรถจิ๊ปหยุดตรงบริเวณป้ายวงกลม”หยุดตรวจ” ตามภาพถ่ายหมาย จ.4 เป็นเหตุให้จำเลยต้องหยุดรถบนผิวจราจรของถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ ประกอบกับร้อยตำรวจโทลือสินเบิกความว่า ชั้นสอบสวนจำเลยให้การว่า เห็นรถโจทก์ที่ 1 อยู่ไกลมาก คิดว่าจะพ้น ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยขับรถแล่นตัดหน้ารถโจทก์ที่ 1 โดยกระชั้นชิดตามที่โจทก์ที่ 1 ฎีกา แม้รถจำเลยจะแล่นมาจากถนนเชิดวุฒากาศ ซึ่งเป็นทางโท แต่รถจำเลยไปถึงสี่แยกที่เกิดเหตุซึ่งเป็นทางร่วมก่อน ซึ่งจำเลยมีสิทธิขับรถผ่านทางแยกไปก่อนได้ เหตุที่รถชนกันเชื่อว่าเป็นเพราะนายลาดคนขับรถโจทก์ที่ 1 ประมาทฝ่ายเดียว”
พิพากษายืน