คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1192/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์ แม้โจทก์มิได้กล่าวว่าพยายามชิงทรัพย์อะไรบ้าง แต่ในฟ้องก็พอเข้าใจว่าจำเลยขู่เข็ญให้บอกที่เก็บทรัพย์ที่อยู่ในกุฏิเพียงเท่านี้ ยังไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและร้องเพิ่มเติมฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดกฎหมายหลายบทหลายกระทงคือ

ก. เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2496 เวลากลางคืนจำเลยที่ 3 บังอาจใช้ให้จำเลยที่ 1, 2 กระทำการชิงทรัพย์ของพระอธิการชื่นโดยจำเลยที่ 3 ได้มอบปืนพกให้แก่จำเลยที่ 1, 2 คนละหนึ่งกระบอกอันเป็นอุปการะแก่การชิงทรัพย์ จำเลยที่ 1, 2 ได้ไปทำการชิงทรัพย์ตามที่จำเลยที่ 3 ใช้

ข. ตามวันเวลาดังกล่าวในข้อ ก. จำเลยทั้งสามบังอาจสมคบกันมีอาวุธปืนพกชนิดเบรานิงค์ขนาด 7.65 มม. 1 กระบอกพร้อมด้วยกระสุน ฯลฯ

ค. ตามวันเวลาดังกล่าวในข้อ ก. จำเลยที่ 1, 2 มีอาวุธปืนคนละ 1กระบอกสมคบกันชิงทรัพย์ของพระอธิการชื่นและใช้มือรัดคอ แต่มีเหตุอันพ้นวิสัยมาขัดขวางเสียจำเลยจึงชิงเอาทรัพย์ไปไม่สำเร็จ แล้วจำเลยที่ 1 บังอาจใช้ปืนยิงพระอธิการชื่นและพระภิกษุแสวงโดยเจตนาฆ่า แต่กระสุนไม่ถูกและจำเลยใช้ปืนยิง ส.ต.ต.ชุบ กับพวกแต่กระสุนไม่ถูก ขอให้ลงโทษ

จำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่าไปหาจำเลยที่ 3 ได้ถูกพระอธิการกับพวกกลุ้มรุมทำร้าย จำเลยจึงยิงขู่ไปหนึ่งนัด ไม่เจตนาฆ่า พอดีมีตำรวจมากลุ้มรุมทำร้ายจำเลยอีก จำเลยจึงยิงขู่ไปโดยไม่ให้ถูกใคร แต่กระสุนขัดลำกล้องเสียเพราะปืนเสียอยู่แล้ว ปืนเบรานิงค์กับกระสุนที่จับได้จำเลยรับฝากจากผู้มีชื่อเพื่อนำไปแก้สิ่งที่ชำรุด

จำเลยที่ 2 ปฏิเสธว่าจำเลยพกอาวุธปืนคอลท์ออดตเมติคพร้อมด้วยกระสุนไปอาศัยนอนกับจำเลยที่ 3 ไปกับจำเลยที่ 1 ไม่พบจำเลยที่ 3 จึงพากันเดินเล่นผ่านกุฏิพระอธิการชื่น ๆ กับพวกเข้าใจว่าเป็นคนร้าย จึงพร้อมด้วยพระและฆารวาสกลุ้มรุมทำร้ายจำเลย ส่วนข้อหาว่าจำเลยมีอาวุธปืนโดยมิได้รับอนุญาตนั้นเป็นความจริง

จำเลยที่ 3 ต่อสู้ว่าจำเลยมีอาวุธปืนคอลท์โอโตเมติคพร้อมด้วยกระสุนไว้โดยมิได้รับอนุญาตจริง ปืนและกระสุนนั้นจำเลยให้จำเลยที่ 2 ยืมไปใช้ก่อนเกิดเหตุ 4-5 วัน ส่วนข้อหาอื่น ๆ ปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นเชื่อว่าจำเลยที่ 1, 2 ทำผิดฐานพยายามชิงทรัพย์จำเลยที่ 1 ทำผิดฐานพยายามฆ่าพระภิกษุแสวงและพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ และจำเลยที่ 1, 2, 3 ทำผิดฐานมีอาวุธปืนและกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนข้อหาจำเลยที่ 3 ฐานใช้ให้จำเลยที่ 1, 2 การชิงทรัพย์นั้นคงมีแต่คำขัดของจำเลยที่ 1, 2 ชั้นสอบสวนเท่านั้นไม่พอฟังลงโทษที่ 3 ได้ พิพากษาว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 72 กระทงหนึ่งให้ปรับ 500 บาท ลดโทษที่จำเลยรับสารภาพให้คนละกึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 คงปรับจำเลยทั้งสามคนละ 250 บาท ฯลฯและจำเลยที่ 1, 2 มีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 299, 60 อีกกระทงหนึ่งให้จำคุกจำเลยที่ 2 ในกระทงนี้ 3 ปี เฉพาะจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 249, 250, 60 และ119, 120 อีก 2 กระทง แต่ให้รวมกระทงลงโทษเพราะความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานตาม มาตรา 250, 60 เป็นกระทงหนักมากอยู่แล้วจึงให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 16 ปี ส่วนข้อหานอกจากนี้ให้ยก

จำเลยที่ 1, 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 ฎีกาต่อมา

ศาลฎีกาเห็นว่าคดีคงมีข้อวินิจฉัยเฉพาะจำเลยที่ 1 เท่านั้น คดีเฉพาะตัวจำเลยที่ 2, 3 เป็นอันยุติ ที่จำเลยที่ 1 คัดค้านว่าข้อหาฐานพยายามชิงทรัพย์เป็นฟ้องเคลือบคลุมโดยไม่ปรากฏว่าพยายามชิงทรัพย์อะไรนั้น เห็นว่าแม้ในฟ้องจะกล่าวว่าเป็นทรัพย์อะไรก็พอเข้าใจว่า จำเลยขู่เข็ญให้บอกที่เก็บทรัพย์ที่อยู่ในกุฏินั้นจึงหาเป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่ ส่วนข้อเท็จจริงนั้นฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดตามฟ้อง

พิพากษายืน

Share