แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยกล่าวไว้ในตอนท้ายคำให้การว่า “อย่างไรก็ดีโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องข้าพเจ้าเป็นจำเลย” เหตุใดจึงกล่าวว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องหาได้แสดงข้ออ้างอิงแต่ประการใดไม่ ทั้งจำเลยมิได้ให้การตัดฟ้องว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย ดังนี้ศาลได้แต่เพียงแปลความหมายว่าคำกล่าวที่ว่าไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องมาจากคำให้การของจำเลยในตอนต้นๆเช่นที่กล่าวว่าจำเลยเป็นตัวแทนของโจทก์ๆ จึงไม่มีอำนาจฟ้องหาใช่เรื่องตัดฟ้องไม่ จึงไม่มีประเด็น และมิจำเป็นที่ศาลจะวินิจฉัยเลยไปถึงว่า โจทก์จะเป็นผู้มีอำนาจฟ้องคดีหรือไม่
ข้อเท็จจริงใดที่โจทก์กล่าวในฟ้องจำเลยจะต้องให้การปฏิเสธหรือคัดค้านหรือจะแก้ว่าอย่างใดก็ได้ หากจำเลยมิได้ปฏิเสธหรือคัดค้าน หรือแก้ว่าอย่างใดเลยถือว่าข้อเท็จจริงนั้น ไม่มีประเด็นอันโจทก์จะต้องนำสืบ
ในเรื่องการบอกกล่าวล่วงหน้าการทวงหนี้โจทก์กล่าวในฟ้องว่าโจทก์ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้เลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งให้จำเลยจัดการชำระเงินที่ค้าง จำเลยไม่ชำระ ซึ่งในข้อนี้จำเลยมิได้ปฏิเสธหรือคัดค้านหรือแก้ว่าอย่างใดเลย จึงไม่มีประเด็นอันโจทก์จะต้องนำสืบด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าคณะรัฐมนตรีได้ลงมติให้จัดตั้งองค์การสรรพาหารสังกัดในสำนักนายกรัฐมนตรีดำเนินงานตามสำเนาหนังสือเลขาธิการคณะรัฐมนตรีท้ายฟ้อง จำเลยนี้ได้ยืมเงินซึ่งใช้ในราชการองค์การสรรพาหารรวมเป็นเงิน 170,000 บาท ต่อมาจำเลยได้ชำระเพียง 88,017 บาท 80 สตางค์ โดยส่งสุกรขายให้แก่เจ้าหน้าที่ของโจทก์หักล้างเงินยืม 85,202.03 บาท ส่งใช้เป็นเงินสด 2,814.37 บาท จำเลยยังคงค้างชำระแก่โจทก์ 81,983.60 บาท เมื่อองค์การสรรพาหารเลิกแล้วโจทก์ทวงถาม จำเลยก็ไม่ชำระ จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยชำระเงินที่ค้างพร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยต่อสู้ว่าองค์การสรรพาหารได้แต่งตั้งให้จำเลยเป็นตัวแทนจัดซื้อโค สุกร ภาคกลางส่งให้องค์การ ในการนี้องค์การจ่ายเงินให้จำเลย 170,000 บาท โดยให้จำเลยทำใบยืมไว้ 4 ฉบับ ซึ่งถือได้ว่าใบยืมนี้เป็นนิติกรรมอำพราง ความจริงเป็นเรื่องตัวการจ่ายเงินให้ตัวแทนและจำเลยยังได้จ่ายเงินส่วนตัวเกินไปอีก 41,650.65 บาทจึงฟ้องแย้งเรียกเงินที่จ่ายเกินไปจากโจทก์
โจทก์แก้ฟ้องแย้งว่าไม่ใช่เรื่องตัวการตัวแทนแต่เป็นเรื่องยืมที่กล่าวในฟ้อง
ศาลแพ่งพิพากษาว่าจำเลยยืมเงินโจทก์ไปแล้วยังชำระไม่หมดจึงให้จำเลยชำระเงินที่ค้างแก่โจทก์ตามฟ้องพร้อมทั้งดอกเบี้ย และให้ยกฟ้องแย้งจำเลย
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังคำแถลงและประชุมพิจารณาแล้วเรื่องอำนาจฟ้องตามที่จำเลยฎีกาขึ้นมาจำเลยมิได้ให้การตัดฟ้องว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นแต่กล่าวในตอนท้ายคำให้การว่า “อย่างไรก็ดีโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องข้าพเจ้าเป็นจำเลย” เหตุใดจึงกล่าวว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องหาได้แสดงข้ออ้างอิงแต่ประการใดไม่ ซึ่งศาลฎีกาแปลความหมายว่าคำกล่าวว่าไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องมาจากคำให้การของจำเลยในตอนต้น ๆเช่นที่กล่าวมีจำเลยเป็นตัวแทนของโจทก์ ๆ จึงไม่มีอำนาจฟ้องหาใช่เรื่องตัดฟ้องไม่ จึงไม่มีประเด็นและมิจำเป็นที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยเลยไปถึงว่าโจทก์จะเป็นผู้มีอำนาจฟ้องคดีดังที่จำเลยฎีกาขึ้นมาหรือไม่ อีกข้อที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์มีหน้าที่นำสืบเรื่องการบอกกล่าวล่วงหน้าการทวงหนี้ตามฟ้องก่อน เมื่อไม่นำสืบหาเกิดสิทธิ์ฟ้องร้องจำเลยไม่นั้น ข้อนี้ฟ้องโจทก์กล่าวไว้ชัดว่าโจทก์ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้เลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งให้จำเลยจัดการชำระเงินที่ค้าง จำเลยไม่ชำระ ข้อนี้จำเลยมิได้ปฏิเสธหรือคัดค้านหรือแก้ว่าอย่างไรเลย จึงไม่มีประเด็นอันโจทก์จะต้องนำสืบด้วย
ส่วนข้อเท็จจริงก็ได้ความว่าจำเลยนี้ได้ยืมเงินขององค์การสรรพาหารไปเพื่อซื้อสัตว์มาขายแก่องค์การ แต่เนื่องจากผู้ยืมเงินไปซื้อสัตว์ตามภูมิภาคไม่ได้ความสะดวกโดยทางข้าหลวงประจำจังหวัดคณะกรรมการจังหวัดต้องการกักสัตว์ไว้ในท้องที่และทางพนักงานรถไฟไม่ยอมให้ตู้ขนโดยสะดวกด้วย เพื่อให้ความขัดของนี้ผ่านไป ผู้ยืมเงินจึงได้มาขอให้ออกหนังสือแสดงว่าผู้ยืมเป็นผู้ซื้อมาขายให้แก่องค์การองค์การจึงได้ออกหนังสือให้ ความจริงจำเลยมิใช่เป็นเจ้าหน้าที่ขององค์การและมิได้รับเบี้ยเลี้ยงเป็นแต่ยืมเงินไปซื้อมาขายให้แก่องค์การ ได้กำไรหรือขาดทุนเป็นเรื่องส่วนตัวของจำเลย ตามพฤติการณ์ที่ปรากฏมาก็มิใช่เป็นเรื่องตัวการตัวแทนตามกฎหมายทั้งฝ่ายจำเลยนำสืบก็ฟังไม่ได้ตามคำกล่าวแก้และฟ้องแย้ง
ศาลนี้คงเห็นชอบด้วยคำพิพากษาศาลทั้งสอง จึงพิพากษายืนให้จำเลยใช้ค่าทนายชั้นฎีกาแทนโจทก์อีก 400 บาท