คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1231/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่ผู้ตายเมาสุราและได้ บังคับขู่เข็ญโดยใช้ มือผลักอก จำเลยหลายครั้งเพื่อให้จำเลยไปดื่ม สุราด้วย และท้าทายให้ยิงกันพร้อมกับทำท่าล้วงอาวุธปืนเมื่อจำเลยวิ่งหนี ผู้ตายยังวิ่งไล่ตามไปอีก จำเลยจึงใช้ อาวุธปืนยิงทันที ถือ ได้ ว่าจำเลยกระทำไปเพราะถูก ข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วย เหตุอันไม่ เป็นธรรม ตามป.อ. มาตรา 72 พนักงานอัยการฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ. อาวุธปืนฯมาตรา 772 และข้อหาฆ่าผู้อื่นตาม ป.อ. มาตรา 288 แม้ศาลจะอนุญาตให้ผู้เสียหายเข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีด้วย ก็หมายถึงอนุญาตให้เข้าเป็นโจทก์ร่วมได้ เฉพาะ ในข้อหาฆ่าผู้อื่นเท่านั้นเพราะโจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหายในข้อหาดังกล่าว ส่วนข้อหาความผิดต่อ พ.ร.บ. อาวุธปืนฯ รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย โจทก์ร่วมมิใช่ผู้เสียหายจึงไม่อาจเข้าเป็นโจทก์ร่วมในข้อหาความผิดตาม พ.ร.บ. อาวุธปืนฯ ได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีอาวุธปืนพกลูกซองขนาดเบอร์ 9ซึ่งเป็นอาวุธปืนของบุคคลอื่นที่ได้รับใบอนุญาตแล้ว 1 กระบอกพร้อมด้วยกระสุนปืนขนาดเบอร์ 9 จำนวน 1 นัด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และจำเลยใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงนายวีระศักดิ์วงศ์ชุมพิศ โดยเจตนาฆ่า เป็นเหตุให้นายวีระศักดิ์ถึงแก่ความตายขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519ข้อ 6 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธในความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่รับว่าใช้อาวุธปืนของกลางยิงนายวีระศักดิ์วงศ์ชุมพิศ ผู้ตาย โดยกระทำป้องกันตัวและบันดาลโทสะ
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น นายบำรุง วงศ์ชุมพิศ บิดาของนายวีระศักดิ์ วงศ์ชุมพิศ ผู้ตายขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคแรก จำเลยอายุ 16 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 จำคุก 1 ปี ข้อนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 9 เดือนอาวุธปืนของกลางมีทะเบียนและจำเลยได้ใช้ในการกระทำผิด มิใช่ทรัพย์สินที่จะพึงริบให้คืนเจ้าของ ข้อหาอื่นให้ยก
โจทก์ร่วมและจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 68, 69 และตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคสาม จำเลยอายุ16 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วย มาตรา 68, 69กระทงหนึ่ง จำคุก 3 ปี และตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคสาม อีกกระทงหนึ่ง จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 3 ปี 6 เดือน จำเลยเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน พร้อมกับมอบอาวุธปืนและกระสุนปืนของกลางให้ด้วยเป็นการลุแก่โทษ และเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 2 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ร่วมและจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ร่วมและฎีกาจำเลยว่า จำเลยได้กระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นหรือไม่ โจทก์มีนายสมภพ ณ ถลาง เป็นประจักษ์พยานเบิกความว่า วันเกิดเหตุพยานจะขับขี่รถจักรยานยนต์ไปหาของรับประทานกับจำเลย ระหว่างทางพบผู้ตายกับเพื่อนผู้ตายอีก 2 คน ผู้ตายบอกให้หยุดรถและชวนไปดื่มสุรา พยานไม่ไปเพราะเห็นผู้ตายเมาสุรา ขณะจำเลยกำลังจะนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของพยาน ผู้ตายเข้าไปผลักอกจำเลยและถามว่า “ไอ้อ๊อด ได้ข่าวว่ามึงเดี๋ยวนี้ซ่านักหรือ” และชวนไปดื่มสุรา จำเลยไม่ไป ผู้ตายให้จำเลยไปซื้อกัญชาจำเลยก็ไม่ไปผู้ตายจึงเข้าไปผลักอกและตบบริเวณศีรษะจำเลยและบอกให้จำเลยไปเอาอาวุธปืนที่ฝากไว้มาคืนผู้ตาย จำเลยได้เดินไปที่โรงไม้ข้างบ้านแล้วนำอาวุธปืนมามอบให้ผู้ตาย ขณะที่ผู้ตายจะรับอาวุธปืนผู้ตายใช้มือข้างหนึ่งจะตบจำเลยและใช้มืออีกข้างหนึ่งล้วงเข้าไปบริเวณกางเกงที่เอวของผู้ตาย ซึ่งใส่เสื้อปล่อยชายนั้น ผู้ตายด่าจำเลยและพูดว่า”อย่าอยู่เลย” แล้วมีเสียงปืนซึ่งอยู่ในมือของจำเลยดังขึ้น 1 นัดกระสุนปืนถูกผู้ตายล้มลงแล้วจำเลยวิ่งหลบหนีไป เห็นว่า ตามคำเบิกความของนายสมภพไม่ปรากฏว่ากระสุนปืนถูกผู้ตายในลักษณะอย่างไรแต่ได้ความจากบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของนายสมภพ เอกสารหมาย จ.1ว่า ผู้ตายได้บังคับขู่เข็ญ โดยใช้มือผลักอกจำเลยหลายครั้งเพื่อให้จำเลยไปดื่มสุราด้วย และท้าทายให้ยิงกัน แล้วผู้ตายใช้มือซ้ายเลิกเสื้อ มือขวาทำท่าล้วงอาวุธปืน แต่ไม่ปรากฏว่าผู้ตายมีอาวุธปืนจำเลยเห็นดังนั้นก็วิ่งไปทางทิศตะวันตก ผู้ตายวิ่งตามไป นายสมภพวิ่งตามหลังผู้ตายไปทันที่หน้าศาลพระภูมิและพูดขอร้องให้ผู้ตายกลับบ้าน ในทันใดนั้นไม่ทราบว่าจำเลยไปเอาอาวุธปืนมาจากที่ใดจ่อยิงผู้ตาย 1 นัด ขณะอยู่ห่าง 1 เมตร เห็นว่า นายสมภพได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนในวันรุ่งขึ้นใกล้ชิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่มีเวลาที่จะคิดปรุงแต่งคำให้การ น่าเชื่อว่าให้การไปตามความเป็นจริงที่นายสมภพเบิกความในชั้นพิจารณาว่า ผู้ตายผลักอกและตบศีรษะจำเลยก่อนจะทวงอาวุธปืนจากจำเลย และก่อนจะรับอาวุธปืนจากจำเลย ผู้ตายจะตบและทำท่าจะล้วงอาวุธปืนเพื่อยิงจำเลยนั้นขัดต่อเหตุผล เพราะผู้ตายคงไม่กล้าจะกระทำเช่นนั้นต่อหน้านายสมภพ ซึ่งเป็นญาติกับจำเลยทั้งไม่น่าเชื่อว่าผู้ตายจะกล้าเสี่ยงกับจำเลยเพราะผู้ตายทราบดีว่าขณะนั้นจำเลยมีอาวุธปืนของผู้ตายอยู่ด้วย กรณีน่าจะเป็นว่าผู้ตายเมาสุราพูดจาเสียงดังและแสดงอาการไม่เหมาะสม คือผลักอกจำเลยซึ่งเคยเป็นเด็กรับใช้ผู้ตายมาก่อน แต่ไม่ถึงกับจะเป็นอันตรายร้ายแรงจนจำเลยต้องใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย นอกจากนั้นนายดุสิต วารินสะอาดพยานโจทก์อีกปากหนึ่งซึ่งนั่งรถมากับผู้ตายเบิกความว่าผู้ตายลงจากรถเดินเข้าไปในซอยแม่หลิว เมื่อพยานไปกลับรถและขับมาจอดตรงข้ามปากซอยแม่หลิวใกล้ที่เกิดเหตุแล้ว พยานจึงเดินตามผู้ตายเข้าไปในซอยได้ 5 เมตร ก็มีเสียงปืนดังขึ้น เห็นจำเลยวิ่งออกมาในซอยท่าทางลุกลี้ลุกลนและตกใจจำเลยบอกพยานว่าผู้ตายมีเรื่อง แต่ก็ไม่ได้บอกว่ามีเรื่องอะไร อันเป็นการกล่าวหาทำนองปกปิดการกระทำของตนนายดุสิตยังเบิกความอีกว่าในเวลากระชั้นชิดกันนั้น มีชาวบ้านพูดว่านายอ๊อดซึ่งหมายถึงจำเลยทำเขาอีกแล้ว กรณีมีเหตุผลให้รับฟังได้ว่าจำเลยยิงผู้ตายโดยมีเจตนาฆ่า แต่การที่ผู้ตายเมาสุราและได้บังคับขู่เข็ญโดยใช้มือผลักอกจำเลยหลายครั้ง เพื่อให้จำเลยไปดื่มสุราด้วย และท้าทายให้ยิงกัน พร้อมกับทำท่าล้วงอาวุธปืน เมื่อจำเลยวิ่งหนี ผู้ตายยังวิ่งไล่ตามไปอีก จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายทันที ถือได้ว่าจำเลยกระทำไปเพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
ส่วนฎีกาของโจทก์ร่วมเกี่ยวกับความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 72 วรรคแรกไม่ใช่มาตรา 72 วรรคสามนั้น เห็นว่า แม้ศาลชั้นต้นได้อนุญาตให้ผู้เสียหายเข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีนี้ได้ก็ตาม แต่ก็น่าจะหมายถึงอนุญาตให้เข้าเป็นโจทก์ร่วมได้เฉพาะในข้อหาฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 เท่านั้น เพราะโจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหายในข้อหานี้ ส่วนข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย โจทก์ร่วมมิใช่ผู้เสียหาย จึงมิอาจเข้าเป็นโจทก์ร่วมในข้อหาดังกล่าวได้ ดังนั้น โจทก์ร่วมจึงไม่มีสิทธิฎีกาในข้อหานี้ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 72 จำเลยมีอายุ 16 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ลงโทษจำคุก 2 ปี เมื่อรวมกับโทษฐานมีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้วเป็นจำคุกจำเลยมีกำหนด 2 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share