คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 812/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การฟ้องขอไถ่ถอนการขายฝากก็ดีหรือการฟ้องขอทำลายนิติกรรมการขายฝากก็ดี เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์จะเรียก+ทรัพย์กลับคืนมาเช่นเดียวกันไม่ ต่างกัน จึงเป็นคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ โจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้อง อ้างฎีกาที่ 1196/91,1385/93

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์ว่าที่ดินโฉนดที่ ๒๐๗๗ จังหวัดธนบุรี เป็นสินบริคณฑ์ ระหว่างโจทก์กับนางบุญเลี่ยงภริยา นางบุญเลี่ยงเอาไปขายฝากแก่นายนิ่ม ๒๕,๐๐๐ บาท โดยมิได้รับอนุญาตจากโจทก์ และโจทก์มิได้รู้เห็น โจทก์มีหนังสือบอกล้างนิติกรรมนี้ ไปยังนายนิ่มแล้วต่อมานายนิ่มตาย จำเลยเป็นผู้รับมรดกไม่ยอมนำสัญญาไปจดทะเบียนเพิกถอนการขายฝาก จึงขอให้ศาลพิพากษาว่านิติกรรมรายนี้เป็นโมฆะและเพิกถอนทำลายเสีย
จำเลยต่อสู้หลายประการ
ศาลแขวงธนบุรีพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าการขายฝากกรรมสิทธิในทรัพย์ย่อมตกไปยังผู้ซื้อ เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้แสดงว่าสัญญาขายฝากที่นางบุญเลี่ยงทำไว้เป็นโมฆะและให้เพิกถอนก็เท่ากับโจทก์ฟ้องเรียกกรรมสิทธิคืนมา จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ตามฟ้องคดีนี้มีทุนทรัพย์ ๒๕,๐๐๐ บาท เกินอำนาจศาลแขวง พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลแขวงธนบุรีเสีย ให้คืนฟ้องให้โจทก์เพื่อยื่นต่อศาลที่มีเขตอานาจ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าสัญญาขายฝากรายนี้ กรรมสิทธิในทรัพย์ที่ขายฝากย่อมตกไปยังผู้ซื้อแล้ว การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนทำลายนิติกรรมการขายฝากรายนี้ก็เท่ากับเป็นการเรียกกรรมสิทธิที่ดินให้กลับคืนมาเป็นสินบริคณฑ์ระหว่างโจทก์กับภริยาดังเดิม จึงเป็นคดีที่พิพาทกันในเรื่องทรัพย์ซึ่งกำหนดลงเป็นราคาเงินได้ดังคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๑๙๖/๒๔๙๓ และที่ ๑๓๓๕/๒๔๙๓ ข้อที่โจทก์อ้างว่าคำพิพากษาฎีกาทั้งสองนี้ เป็นเรื่องฟ้องขอไถ่เมื่อพ้นกำหนดในสัญญาขายฝากแล้วไม่เหมือนกับเรื่องนี้นั้นเห็นว่าการฟ้องขอไถ่เมื่อพ้นกำหนดก็ดีหรือการฟ้องขอให้ทำลายนิติกรรมเช่นเรื่องนี้ก็ดีเป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์จะเรียกที่ดินกลับคืนมาเช่นเดียวกัน
คดีนี้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าทำสัญญาขายฝากเงิน ๒๕,๐๐๐ บาท ราคาทรัพย์ที่พิพาทจึงมีทุนทรัพย์ ๒๕,๐๐๐ บาท ข้อนี้จะถูกหรือไม่ ไม่มีฝ่ายใดโต้เถียงขึ้นมา ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัย
พิพากษายืน

Share