คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1054/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติการพนันฯ มาตรา 12(1) ได้กำหนดโทษผู้เข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่นการพนันตามบัญชี ก. หมายเลข 11 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไปจนถึง 3 ปี และปรับตั้งแต่ 500 บาทขึ้นไปจนถึง5,000 บาท เว้นแต่ผู้เข้าเล่นหรือเข้าพนันที่เรียกว่าลูกค้าให้จำคุกไม่เกิน3 ปี หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งเป็นการแยกบทกำหนดโทษสำหรับผู้เข้าเล่นหรือเข้าพนันที่ไม่ได้เรียกว่าลูกค้าเป็นบทหนึ่ง และสำหรับผู้เข้าเล่นหรือเข้าพนันที่เรียกว่าลูกค้าเป็นอีกบทหนึ่ง การที่จำเลยทั้งยี่สิบสองคนเข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่นการพนันป๊อกแปดเก้า โดยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้และเป็นผู้เล่นหรือลูกค้าคนแทง จำเลยทั้งยี่สิบสองก็มีเพียงเจตนาเดียว คือ เข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่นการพนันป๊อกแปดเก้า การกระทำของจำเลยทั้งยี่สิบสองจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องใช้กฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษแก่จำเลยทั้งยี่สิบสองคือ ความผิดฐานเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้ การที่ศาลล่างทั้งสองเรียงกระทงลงโทษจำเลยทั้งยี่สิบสองในความผิดฐานเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้และเป็นผู้เล่นหรือลูกค้าคนแทง รวม 2 กระทงนั้นเป็นการไม่ชอบและเนื่องจากเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีจึงให้มีผลถึงจำเลยอื่น ๆ ที่มิได้ฎีกาด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225
เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 7, ที่ 14 และที่ 16 กับพวกได้พร้อมอุปกรณ์การเล่นการพนันหลายรายการและยึดเงินสดที่ใช้เอาออกพนันได้ถึง 68,860 บาท แสดงว่าเป็นการพนันวงใหญ่ เล่นได้เสียกันเป็นจำนวนมาก ตามพฤติการณ์เป็นเรื่องร้ายแรง ประกอบกับก่อนคดีนี้จำเลยที่ 7 เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกและปรับฐานร่วมกันเล่นการพนันป๊อกแปดเก้าโดยไม่ได้รับอนุญาตและศาลชั้นต้นเคยปรานีรอการลงโทษ แต่จำเลยที่ 7 ยังมากระทำความผิดอย่างเดียวกันซ้ำอีกภายในกำหนดระยะเวลาที่ศาลรอการลงโทษในคดีก่อนจึงไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษจำเลยที่ 7 ส่วนจำเลยที่ 14 และที่ 16ไม่ปรากฏว่าเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน อีกทั้งมีอาชีพการงานเป็นหลักแหล่งและต่างก็ต้องเลี้ยงดูภรรยาซึ่งไม่ได้ประกอบอาชีพและบุตรซึ่งอยู่ในวัยศึกษาอีกคนละ 3 คน กรณีมีเหตุอันควรปรานี เพื่อให้โอกาสจำเลยทั้งสองกลับตัวเป็นพลเมืองดี สมควรรอการลงโทษจำเลยทั้งสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478มาตรา 4, 5, 6, 10, 12, 14 ทวิ, 15 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58, 83ริบของกลางและจ่ายเงินสินบนนำจับ และลงโทษจำเลยที่ 2 ที่ 4 ถึงที่ 8 ที่ 10ที่ 21 และที่ 22 สถานหนัก และบวกโทษจำเลยที่ 7 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีนี้

จำเลยทั้งยี่สิบสองให้การรับสารภาพ จำเลยที่ 2 ที่ 4 ถึงที่ 8 ที่ 10 ที่ 21และที่ 22 รับว่าเคยต้องโทษและพ้นโทษมาแล้วตามฟ้อง และจำเลยที่ 7 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีก่อนที่ศาลรอการลงโทษไว้ตามฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งยี่สิบสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4, 5, 6, 10, 12, 14 ทวิ,15 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58, 83 ให้เรียงกระทงลงโทษจำเลยที่ 1ฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่นและฐานเป็นเจ้ามือ ให้จำคุกกระทงละ 6 เดือนและปรับกระทงละ 5,000 บาท ฐานเป็นผู้เล่นปรับ 3,000 บาท รวมโทษจำเลยที่ 1 เป็นจำคุก 12 เดือน และปรับ 13,000 บาท ลงโทษจำเลยที่ 3ที่ 9 ที่ 11 ถึงที่ 20 ฐานเป็นเจ้ามือจำคุกคนละ 6 เดือน และปรับคนละ5,000 บาท ฐานเป็นผู้เล่นปรับคนละ 3,000 บาท รวมโทษจำคุกคนละ6 เดือน และปรับคนละ 8,000 บาท จำเลยที่ 2 ที่ 4 ถึงที่ 8 ที่ 10 ที่ 21และที่ 22 เคยกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติการพนันฯ มาก่อนให้เพิ่มโทษตามมาตรา 14 ทวิ ฐานเป็นเจ้ามือจำคุกคนละ 1 ปี และปรับคนละ 10,000 บาท ฐานเป็นผู้เล่นจำคุกคนละ 3 เดือน และปรับคนละ 5,000 บาท จำเลยทั้งยี่สิบสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 6 เดือนและปรับ 6,500 บาท จำคุกจำเลยที่ 3 ที่ 9 ที่ 11 ถึงที่ 20 คนละ 3 เดือนและปรับคนละ 4,000 บาท เฉพาะจำเลยที่ 2 ที่ 4 ถึงที่ 8 ที่ 10 ที่ 21และที่ 22 ความผิดฐานเป็นผู้เล่นไม่ลดโทษให้ เมื่อลดโทษฐานเป็นเจ้ามือกึ่งหนึ่งรวมกับความผิดฐานเป็นผู้เล่นแล้ว คงจำคุกคนละ 9 เดือน และปรับคนละ 10,000 บาท โทษจำคุกของจำเลยที่ 2 ที่ 4 ถึงที่ 8 ที่ 10 ที่ 21 และที่ 22 ให้รอการลงโทษมีกำหนด 2 ปี โทษจำคุกของจำเลยอื่น ๆ นอกจากนี้ให้รอการลงโทษมีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทน และให้จำเลยทุกคนจ่ายเงินสินบนนำจับกึ่งหนึ่งของค่าปรับ ริบของกลางทั้งหมด

โจทก์อุทธรณ์ขอให้ไม่รอการลงโทษแก่จำเลยทั้งยี่สิบสองและบวกโทษจำคุกของจำเลยที่ 7 ที่รอการลงโทษไว้ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2648/2540 ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษคดีนี้ โดยอธิบดีอัยการเขต 5ซึ่งได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุดรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งยี่สิบสองสถานเดียว ไม่ปรับ และไม่จ่ายเงินสินบนนำจับ (ที่ถูกไม่จ่ายเงินสินบนนำจับเฉพาะข้อหาที่ศาลลงโทษจำคุก) และให้นำโทษจำคุก 3 เดือน ของจำเลยที่ 7 ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2648/2540ของศาลชั้นต้นมาบวกกับโทษในคดีนี้ รวมเป็นจำคุกจำเลยที่ 7 มีกำหนด12 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 7 ที่ 14 และที่ 16 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่า การที่ศาลล่างทั้งสองเรียงกระทงลงโทษจำเลยทั้งยี่สิบสองในความผิดฐานเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้และเป็นผู้เล่นหรือลูกค้าคนแทงรวมเป็น 2 กระทงนั้น ชอบหรือไม่ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 คดีนี้จำเลยทั้งยี่สิบสองให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามฟ้องว่าจำเลยทั้งยี่สิบสองร่วมกับพวกที่หลบหนีเล่นการพนันป๊อกแปดเก้า ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับการพนันป๊อก ซึ่งเป็นการพนันอันระบุไว้ในบัญชี ก. หมายเลข 11ท้ายพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 พนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน โดยจำเลยทั้งหมดผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้และเป็นผู้เล่นหรือลูกค้าคนแทง เห็นว่า แม้พระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 12(1) ได้กำหนดโทษผู้เข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่นการพนันตามบัญชี ก. หมายเลข 11ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไปจนถึง 3 ปี และปรับตั้งแต่500 บาทขึ้นไปจนถึง 5,000 บาท ด้วยอีกโสดหนึ่งเว้นแต่ผู้เข้าเล่นหรือเข้าพนันที่เรียกว่า ลูกค้า ให้จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งแยกบทกำหนดโทษสำหรับผู้เข้าเล่นหรือเข้าพนันที่ไม่ได้เรียกว่าลูกค้าเป็นบทหนึ่ง และสำหรับผู้เข้าเล่นหรือเข้าพนันที่เรียกว่าลูกค้า เป็นอีกบทหนึ่งก็ตาม จำเลยทั้งยี่สิบสองก็มีเพียงเจตนาเดียวคือ เข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่นการพนันป๊อกแปดเก้า ดังนั้น การที่จำเลยทั้งยี่สิบสองผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้และเป็นผู้เล่นหรือเป็นลูกค้าคนแทง การกระทำของจำเลยทั้งยี่สิบสองเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทต้องใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษแก่จำเลยทั้งยี่สิบสองคือ ความผิดฐานเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้ ที่ศาลล่างทั้งสองเรียงกระทงลงโทษจำเลยทั้งยี่สิบสองในความผิดฐานเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้และเป็นผู้เล่นหรือลูกค้าคนแทงรวม 2 กระทงนั้น เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง และเนื่องจากเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีจึงให้มีผลถึงจำเลยอื่น ๆ ที่มิได้ฎีกาด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 213 ประกอบมาตรา 225

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของจำเลยที่ 7 มีว่า สมควรรอการลงโทษและคุมความประพฤติจำเลยที่ 7 ไว้หรือไม่ เห็นว่า เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 7 กับพวกได้พร้อมอุปกรณ์การเล่นการพนันหลายรายการและยึดเงินสดที่ใช้เอาออกพนันได้ถึง 68,860 บาท แสดงว่าเป็นการพนันวงใหญ่ เล่นได้เสียกันเป็นเงินจำนวนมาก ตามพฤติการณ์เป็นเรื่องร้ายแรงประกอบกับก่อนคดีนี้จำเลยที่ 7 เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกและปรับฐานร่วมกันเล่นการพนันป๊อกแปดเก้าโดยไม่ได้รับอนุญาตและศาลชั้นต้นเคยปรานีรอการลงโทษเพื่อให้โอกาสจำเลยที่ 7กลับตัวเป็นพลเมืองดีมาครั้งหนึ่งแล้ว จำเลยที่ 7 ยังมากระทำความผิดอย่างเดียวกันซ้ำอีกภายในกำหนดระยะเวลาที่ศาลรอการลงโทษในคดีก่อนแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 7 ไม่รู้สำนึกในความผิด ไม่รู้สึกหลาบจำเกรงกลัวในการกระทำความผิดและไม่มีความตั้งใจที่จะกลับตัวเป็นพลเมืองดีตามที่ศาลให้โอกาส ดังนั้น การที่จะรอการลงโทษจำคุกและคุมความประพฤติจำเลยที่ 7 ไว้ จึงเหมาะสมแก่สภาพความผิดและไม่เพียงพอที่จะทำให้จำเลยที่ 7 เกรงกลัวหรือหลาบจำ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 7 โดยไม่รอการลงโทษและนำโทษที่รอการลงโทษไว้นั้นมาบวกกับโทษในคดีนี้ชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 7 ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของจำเลยที่ 14 และที่ 16มีว่า สมควรรอการลงโทษให้แก่จำเลยที่ 14 และที่ 16 หรือไม่ เห็นว่าแม้เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 14 และที่ 16 กับพวกได้พร้อมอุปกรณ์การเล่นการพนันหลายรายการ และยึดเงินสดที่ใช้เอาออกพนันได้ถึง68,860 บาท ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนมากและเป็นการพนันวงใหญ่ ตามพฤติการณ์เป็นเรื่องร้ายแรงก็ตาม ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 14 และที่ 16เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จำเลยที่ 14 และที่ 16 มีอาชีพการงานเป็นหลักแหล่งและต่างก็ต้องเลี้ยงดูภรรยาซึ่งไม่ได้ประกอบอาชีพและบุตรซึ่งอยู่ในวัยศึกษาเล่าเรียนอีกคนละ 3 คน เมื่อคำนึงถึงอายุประวัติ ความประพฤติของจำเลยที่ 14 และที่ 16 ประกอบกันแล้วกรณีมีเหตุอันควรปรานี เพื่อให้โอกาสจำเลยที่ 14 และที่ 16 กลับตัวเป็นพลเมืองดี ประกอบสัมมาชีพหาเลี้ยงครอบครัวได้ต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ลงโทษจำคุกโดยไม่รอการลงโทษให้แก่จำเลยที่ 14และที่ 16 นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 14 และที่ 16 ฟังขึ้น แต่เพื่อให้จำเลยที่ 14 และที่ 16 หลาบจำ เห็นควรลงโทษปรับอีกสถานหนึ่งและคุมความประพฤติไว้ทั้งเมื่อให้ปรับจำเลยที่ 14และที่ 16 แล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรให้จำเลยที่ 14 และที่ 16 จ่ายเงินสินบนนำจับเสียด้วย”

พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานเป็นเจ้ามือและฐานเป็นผู้เล่นเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำเลยทั้งยี่สิบสองในความผิดฐานเป็นเจ้ามือซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุกจำเลยที่ 1มีกำหนด 6 เดือน รวมกับโทษในความผิดฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่นจำคุก 6 เดือน เข้าด้วยแล้ว รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 12 เดือนจำคุกจำเลยที่ 3 ที่ 9 ที่ 11 ถึงที่ 13 ที่ 15 ที่ 17 ถึงที่ 20 คนละ 6 เดือนจำคุกจำเลยที่ 14 และที่ 16 คนละ 6 เดือน และปรับคนละ 5,000บาท จำเลยที่ 2 ที่ 4 ถึงที่ 8 ที่ 10 ที่ 21 และที่ 22 เคยกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติการพนันฯ มาก่อนและพ้นโทษยังไม่ครบสามปีให้วางโทษทวีคูณตามมาตรา 14 ทวิ(1) จำคุกคนละ 1 ปี จำเลยทั้งยี่สิบสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 6 เดือน จำคุกจำเลยที่ 3 ที่ 9 ที่ 11 ถึงที่ 13 ที่ 15 ที่ 17 ถึงที่ 20 คนละ 3 เดือน จำคุกจำเลยที่ 14และที่ 16 คนละ 3 เดือน และปรับคนละ 2,500 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 ที่ 4 ถึงที่ 8 ที่ 10 ที่ 21 และที่ 22 คนละ 6 เดือน และให้นำโทษจำคุก3 เดือน ของจำเลยที่ 7 ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2648/2540ของศาลชั้นต้นมาบวกกับโทษในคดีนี้ รวมเป็นจำคุกจำเลยที่ 7 มีกำหนด9 เดือน โทษจำคุกของจำเลยที่ 14 และที่ 16 ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด3 ปี และคุมความประพฤติไว้ 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยที่ 14 และที่ 16 ฟัง โดยให้จำเลยที่ 14 และที่ 16 ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติปีละ 3 ครั้ง มีกำหนด 2 ปี ตามเงื่อนไขและกำหนดระยะเวลาที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรกำหนดให้จำเลยที่ 14 และที่ 16 ละเว้นการประพฤติใดอันอาจนำไปสู่การกระทำความผิดทำนองนี้อีกกับให้กระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยที่ 14 และที่ 16 เห็นสมควรมีกำหนดคนละ 30 ชั่วโมงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามมาตรา 29, 30 ให้จำเลยที่ 14 และที่ 16 จ่ายเงินสินบนนำจับกึ่งหนึ่งของค่าปรับแก่ผู้นำจับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share