แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องเรียกเอาที่จากนางป้าหญ้าระหว่างคดีนางป้าหญ้าตายลงนายมะแข่งบุตรนางป้าหญ้าได้ยื่นคำร้องขอรับมรดกความนางป้าหญ้าเพื่อดำเนินคดีกับโจทก์ต่อไป.จำเลยก็ยื่นคำร้องต่อศาลขอรับมรดกคดีนางป้าหญ้าด้วยโดยอ้างเหตุว่าเพราะนางป้าหญ้าได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้จำเลยศาลสั่งให้จำเลยฟ้องนายมะแข่งเพื่อแสดงว่าจำเลยมีสิทธิในกองทรัพย์สินดีกว่านายมะแข่งแต่จำเลยไม่จัดการฟ้องนายมะแข่งในเวลาที่ศาลกำหนด.ศาลจึงสั่งให้นายมะแข่งรับมรดกความนางป้าหญ้า นายมะแข่งจึงดำเนินคดีกับโจทก์ต่อมาได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยนายมะแข่งยอมให้ที่พิพาทเป็นของโจทก์ๆ ตกลงชำระเงินให้นายมะแข่งจำนวนหนึ่งเช่นนี้ถือว่าถ้าแม้จำเลยจะมีสิทธิตามพินัยกรรมจริงจำเลยก็ต้องได้รับผลของการดำเนินคดีที่นายมะแข่งได้ทำไปเท่ากับจำเลยยอมให้นายมะแข่งดำเนินการแทนจำเลยจะอ้างว่าจำเลยได้จัดการให้อำเภอโอนที่พิพาทให้จำเลยโดยถูกต้องตามสิทธิในพินัยกรรมมายันโจทก์ไม่ได้เมื่อโจทก์ได้ชำระเงินให้นายมะแข่งครบก็ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทและฟ้องขับไล่จำเลยได้
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่และห้ามจำเลยและบริวารมิให้เข้าเกี่ยวข้องกับที่ 3 แปลงอยู่ที่ตำบลทรายขาว อ.โป่งน้ำร้อนจ.จันทบุรี ซึ่งเป็นที่ไม่มีหนังสือสำคัญ ที่ทั้ง 3 แปลงนี้โจทก์ได้มาโดยโจทก์ฟ้องนางป้าหญ้าเจ้าของที่ทั้ง 3 นี้ตามคดีแพ่งดำที่ 62/2495 แห่งศาลจังหวัดจันทบุรี เรียกร้องให้นางป้าหญ้าขายที่ให้โจทก์ตามที่มีสัญญาวางมัดจำกันไว้ ซึ่งนางป้าหญ้าได้ต่อสู้คดีว่าโจทก์ผิดนัดชำระราคา ระหว่างคดีนางป้าหญ้าได้ถึงแก่มรณะกรรมลงนายนารถจำเลยในคดีนี้และนายมะแข่งได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอรับมรดกความนายนารถจำเลยยื่นคำร้องว่านางป้าหญ้าทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกทั้งหมดให้ ส่วนนายมะแข่งยื่นคำร้องว่าเป็นบุตรนางป้าหญ้าเมื่อมีผู้ยื่นคำร้องขอรับมรดกความเข้ามาถึง 2 ราย ศาลจึงนัดทั้งสองให้มาพร้อมแล้วสั่งว่าศาลเห็นควรจะได้พิจารณาการพิพาทแย่งกันรับมรดกเสียก่อน และเห็นว่านายมะแข่งเป็นบุตรนางป้าหญ้าเป็นทายาทโดยธรรมของนางป้าหญ้าอยู่แล้ว ส่วนจำเลยเป็นคนอื่นมากล่าวอ้างว่านางป้าหญ้าทำพินัยกรรมยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้จึงสั่งให้นายนารถจำเลยเป็นฝ่ายเสนอคำฟ้องในข้อพิพาทภายใน 15 พฤศจิกายน 2495 มิฉะนั้นศาลจะถือว่านายมะแข่งควรเป็นผู้รับมรดกความนางป้าหญ้า แต่นับแต่จำเลยทราบคำสั่งศาลแล้วก็มิได้จัดการดำเนินคดีกับนายมะแข่งตามกำหนด ศาลจึงสั่งให้นายมะแข่งดำเนินคดีแทนนางป้าหญ้าต่อไป ในที่สุดแห่งการดำเนินคดีนายมะแข่งกับโจทก์ได้ทำสัญญาประนีประนอมกันโดยนายมะแข่งยอมรับเงินจากโจทก์จำนวนหนึ่งและยอมให้โจทก์เป็นเจ้าของที่ดังกล่าว ซึ่งศาลได้พิพากษาคดีไปแล้วตามสำนวนคดีแดงที่ 44/2496
จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์ผิดสัญญาซื้อขายที่พิพาทกับนางป้าหญ้า ๆ ได้บอกเลิกสัญญากับโจทก์แล้ว ซึ่งโจทก์ได้มาฟ้องนางป้าหญ้าตามสำนวนคดีแพ่งดำที่ 62/2495 สำหรับที่พิพาทจำเลยได้ไปขอรับมรดกตามพินัยกรรมจากอำเภอ และอำเภอโป่งน้ำร้อนได้ประกาศตามระเบียบแล้วไม่มีผู้ใดคัดค้าน อำเภอจึงได้โอนที่พิพาทให้เป็นของจำเลย ๆ เข้าครอบครองตลอดมา ครั้นเมื่อเดือนสิงหาคม 2496 โจทก์กับพวกบุกรุกเข้าไปรื้อเรือนในที่พิพาทและเข้าครอบครองเก็บผลกระวาน จำเลยได้นำเจ้าพนักงานมาจับกุมโจทก์กับพวกไปสอบสวน โจทก์จึงมาฟ้องคดีนี้จำเลยถือว่านายมะแข่งถูกตัดจากกองมรดกโดยพินัยกรรมจึงไม่มีสิทธิ์จะรับมรดกความ สัญญาประนีประนอมของนายมะแข่งกับโจทก์จึงเป็นโมฆะและการใช้สิทธิของโจทก์ในการดำเนินคดีกับนายมะแข่งต่อมาเป็นไปโดยไม่สุจริต เพราะโจทก์ทราบดีว่านายมะแข่งไม่มีสิทธิ์ ฉะนั้นโจทก์จึงไม่มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินดีกว่าจำเลย และตัดฟ้องว่าจำเลยเข้าครอบครองที่พิพาทมาเกิน 1 ปี คดีของโจทก์ขาดอายุความ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ศาลสั่งให้นายมะแข่งดำเนินคดีแทนนางป้าหญ้าจำเลยก็ทราบคำสั่งนั้น จึงถือเท่ากับจำเลยยอมให้นายมะแข่งดำเนินคดีแทน เมื่อนายมะแข่งทำยอมยกที่ให้โจทก์โดยโจทก์เสียเงินตอบแทน เช่นนี้ ข้อที่ว่าโจทก์หรือนางป้าหญ้าผิดสัญญาจึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย และการดำเนินคดีของนายมะแข่งก็เป็นไปโดยสุจริต จำเลยก็ต้องผูกพันตามที่นายมะแข่งได้กระทำไป และการที่อำเภอจัดการโอนที่พิพาทให้จำเลยไม่ทำให้จำเลยได้สิทธิในที่พิพาทและตั้งแต่อำเภอจัดการโอนที่พิพาทให้จำเลยมายังไม่ถึง 1 ปี จำเลยจะอ้างครอบครองไม่ได้ และที่ตัดฟ้องว่าฟ้องขาดอายุความก็ไม่ขาดเพราะโจทก์ไม่ได้ฟ้องเรียกมรดกแต่ฟ้องในฐานะเป็นเจ้าของที่พิพาทสรุปแล้วจำเลยไม่มีสิทธิดีกว่าโจทก์ จึงพิพากษาห้ามจำเลยและบริวารมิให้เข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อศาลชั้นต้นสั่งให้นายมะแข่งเข้าดำเนินคดีแทนนางป้าหญ้าโดยชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 43 จำเลยมิได้อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งประการใด จึงไม่มีเหตุที่จำเลยจะมาโต้แย้ง และพฤติการณ์ระหว่างนายมะแข่งกับโจทก์ก็ฟังได้ว่าเป็นไปโดยสุจริต แม้จำเลยจะเป็นผู้ได้รับพินัยกรรมของนางป้าหญ้า จำเลยก็ตกอยู่ในฐานะเป็นผู้รับโอนสิทธิในทรัพย์พิพาทต่อจากนางป้าหญ้า เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ต้องถือว่านายมะแข่งได้ดำเนินคดีแทนเจ้าของทรัพย์พิพาททั้งสิ้น เมื่อนายมะแข่งดำเนินไปอย่างไรก็ย่อมผูกพันจำเลยด้วย จำเลยต้องได้รับผลของคดี แม้ถ้านางป้าหญ้าอยู่นางป้าหญ้าก็จะต้องได้รับผลคดีเช่นกันการที่อำเภอจัดการโอนที่พิพาทให้จำเลยตามพินัยกรรม จึงไม่มีผลดีไปกว่าผลตามคำพิพากษาได้ จึงพิพากษายืน