คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1145/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บุตรโจทก์ถูกรถยนต์ชนได้รับบาดเจ็บสาหัส โจทก์ซึ่งเป็นบิดาและเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมย่อมมีหน้าที่รักษาพยาบาล เมื่อต้องเสียค่าใช้จ่ายต่างๆ ไปแล้ว จึงมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายที่จ่ายไป ซึ่งเป็นค่าเสียหายส่วนตัวโดยตรงได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นบิดาและผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรซึ่งถูกรถยนต์ของจำเลยชนได้รับบาดเจ็บสาหัส ขอให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหายที่โจทก์ได้รับเป็นส่วนตัว กับค่าเสียหายของบุตรโจทก์ที่ถูกรถยนต์ชนจนเสียขาทั้งสองข้าง ทำให้ขาดความสำราญไปตลอดชีวิต และเสียความสามารถในการประกอบการงานในอนาคต เป็นคำฟ้องแสดงชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 แล้ว แม้โจทก์จะไม่ได้ระบุในช่องคู่ความว่า โจทก์ได้ฟ้องในฐานะเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรในตอนแรกก็ตาม แต่โจทก์ก็ได้บรรยายฟ้องในตอนต่อไปว่า โจทก์เป็นบิดาและผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตร จึงถือได้ว่าโจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะส่วนตัวของโจทก์และในฐานะที่เป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรโจทก์ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบิดาและผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กชายสมศักดิ์ จำเลยที่ 4 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ที่ 2 จำเลยที่ 3 เป็นบริษัทรับประกันภัย ได้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์คันเกิดเหตุจำเลยที่ 4 ได้ขับรถยนต์โดยประมาทชนเด็กชายสมศักดิ์บุตรโจทก์จนได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงทุพพลภาพ ขอให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหาย

จำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่า โจทก์ไม่ใช่บิดาของเด็กชายสมศักดิ์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิด

จำเลยที่ 2 ตัดฟ้องว่า โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องคดีเพื่อตนเอง เพราะโจทก์ไม่ใช่ผู้ถูกโต้แย้งสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 55

จำเลยที่ 3 ต่อสู้ว่า โจทก์ไม่ใช่บิดาของเด็กชายสมศักดิ์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ และไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3 ต่อมาโจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 3 ศาลอนุญาต

จำเลยที่ 4 ให้การรับว่าได้ขับรถยนต์ชนบุตรโจทก์บาดเจ็บจริงขณะนี้ศาลพิพากษาจำคุกและกำลังรับโทษอยู่ จำเลยเป็นคนยากจนไม่มีทรัพย์สินอะไรเลย

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายในนามของตนเอง และฟ้องของโจทก์เป็นการฟ้องแทนเด็กชายสมศักดิ์ผู้เยาว์ในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรม พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์

จำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์ร่วมกันว่า โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นส่วนตัวเพราะโจทก์ไม่ใช่ผู้ถูกละเมิด โจทก์ควรได้ค่าเสียหายไม่เกิน 30,000 บาท

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายในฐานะส่วนตัวจากจำเลยที่ 4 ที่กระทำละเมิดต่อบุตรโจทก์ ส่วนจำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 4 ที่ได้กระทำลงไปในทางที่จ้างต้องรับผิดร่วมกัน ถือได้ว่าโจทก์ได้ถูกโต้แย้งสิทธิ สำหรับค่าเสียหาย ค่าเสื่อมความสามารถในอนาคตของบุตรโจทก์คิดมาเป็นเงิน80,000 บาทนั้น โจทก์ฟ้องมาในฐานะส่วนตัว ไม่ได้ฟ้องในฐานะแทนบุตรค่าเสียหาย 80,000 บาทนี้เป็นค่าเสียหายซึ่งเด็กชายสมศักดิ์บุตรโจทก์ได้รับโดยตรง จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในเงินจำนวนนี้ จึงได้หักเงินจำนวนนี้ออกเสีย

โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องได้ความชัดเจนแล้วว่า โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยในฐานะส่วนตัวโจทก์ และค่าเสียหายของเด็กชายสมศักดิ์บุตรโจทก์ในอนาคตในฐานะโจทก์เป็นผู้แทนโดยชอบธรรมด้วย ขอให้จำเลยร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายของเด็กชายสมศักดิ์ 80,000 บาทด้วย

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในฐานะโจทก์เป็นบิดาของเด็กชายสมศักดิ์ย่อมมีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาตามสมควรแก่บุตรในระหว่างเป็นผู้เยาว์ เมื่อบุตรโจทก์ถูกรถยนต์ที่จำเลยที่ 4 ขับชนจนได้รับบาดเจ็บสาหัส โจทก์มีหน้าที่ต้องพยาบาลรักษาจนบุตรพ้นอันตราย ในการพยาบาลรักษาต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ค่าใช้จ่ายนี้เป็นค่าเสียหายที่โจทก์ได้รับโดยตรงโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

สำหรับคำฟ้องของโจทก์ ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ในช่องคู่ความโจทก์จะไม่ได้บรรยายว่า ฟ้องเรียกค่าเสียหายแทนบุตรในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมก็ดี แต่โจทก์ก็ได้บรรยายในตอนต่อไปว่าโจทก์เป็นบิดาและผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรไว้ ขอให้จำเลยร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายที่โจทก์ได้รับเป็นส่วนตัวจำนวนหนึ่ง และค่าเสียหายที่บุตรโจทก์ต้องสูญเสียขาทั้งสองข้าง ทำให้ขาดความสำราญตลอดชีวิต และเสียความสามารถในการประกอบอาชีพในอนาคตเป็นจำนวนเงิน 80,000 บาท จำนวนหนึ่ง ตามคำบรรยายฟ้องเข้าใจได้ว่า โจทก์ฟ้องสองฐานะเมื่อโจทก์บรรยายฟ้องแสดงแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์เช่นว่านั้นครบถ้วนแล้ว จึงฟังได้ว่าโจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรโจทก์ด้วย จำเลยจึงต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายของบุตรโจทก์จำนวน 80,000 บาทแก่โจทก์

Share