แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีก่อนพนักงานอัยการได้ฟ้องขอให้ลงโทษ ช. สามีจำเลย ข้อหาบุกรุกที่ดินของโจทก์ ศาลพิพากษายกฟ้องโดยฟังข้อเท็จจริงว่า ช. และจำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2528 หรือก่อนปี 2528 อันเป็นการบุกรุกแย่งการครอบครอง เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปี นับแต่เวลาที่ ช. บุกรุก เข้าแย่งการครอบครอง โจทก์ย่อมหมดสิทธิฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองและสิทธิครอบครองของโจทก์ก่อนสิ้นสุดลง ที่โจทก์ฟ้องจำเลยคดีนี้ในฐานะทายาทของ ช. ให้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับ ช. และให้ขับไล่จำเลย จึงเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังกล่าว ในการวินิจฉัยคดีนี้ ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญาดังที่บัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ข้อเท็จจริงจึง ฟังได้ว่าสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทของโจทก์ได้สิ้นสุดลงแล้ว คำพิพากษาคดีส่วนอาญาดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์และ ช. ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 โจทก์จะฟ้องขอให้บังคับจำเลยทายาทของ ช. ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวมีมาก่อนที่ศาลในคดีส่วนอาญาได้พิพากษาไปแล้ว และให้ขับไล่จำเลยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันอีกไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยยินยอมให้โจทก์ทำการรังวัดแย่งแยกที่ดิน ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลยที่ 53 ใส่ชื่อนายเชื่อม ซื่อตรง พร้อมรับเงินจำนวน 15,000 บาท หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย กับให้ชำระค่าเสียหายเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องสำนวนแรก (2 ตุลาคม 2539) จนกว่าจำเลยจะปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้โจทก์รังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทเสร็จ และให้จำเลยพร้อมบริวารรื้อถอนบ้านตึกชั้นเดียว เลขที่ 10/2 หมู่ที่ 1 ตำบลน้ำจืด อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง ออกจากที่ดินของโจทก์ และให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องสำนวนหลัง (16 ตุลาคม 2539) จนกว่าจำเลยและบริวารจะรื้อถอนบ้านและขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินของโจทก์เสร็จสิ้น และห้ามจำเลยกับบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์อีกต่อไป
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การทำนองเดียวกันว่า จำเลยเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายเชื่อม ซื่อตรง นายเชื่อมและจำเลยเป็นเจ้าของและได้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 53 โดยปลูกบ้านและพืชผลตั้งแต่ปี 2521 โจทก์ไม่ใช่เจ้าของและไม่เคยครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าว โจทก์เคยฟ้องนายเชื่อมเป็นคดีอาญาข้อหาบุกรุก ต่อมาศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง สัญญาประนีประนอมยอมความไม่มีผลบังคับ เพราะก่อนทำสัญญานั้นจำเลยและนายเชื่อมได้ครอบครองทำประโยชน์อันเป็นการแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทเกินกว่า 1 ปีแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความสำนวนละ 3,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์มีชื่อเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 53 เมื่อปี 2533 นายนพดล มีกุล ได้รับมอบอำนาจจากโจทก์ให้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนดำเนินคดีอาญาแก่นายเชื่อม ซื่อตรง สามีจำเลยในข้อหาบุกรุกที่ดินพิพาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 53 ดังกล่าว ต่อมาโจทก์และนายเชื่อมทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยตกลงกันว่า โจทก์ยินยอมแบ่งที่ดินพิพาทให้แก่นายเชื่อมจำนวน 5 ไร่ และชำระเงินจำนวน 15,000 บาท ให้แก่นายเชื่อมเป็นค่าพันธุ์ไม้ที่นายเชื่อมปลูกไว้ในที่ดินพิพาท และนายเชื่อมไม่ขอเรียกร้องสิทธิในที่ดินพิพาทและพืชผล ภายหลังโจทก์ขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทให้แก่นายเชื่อม แต่นายเชื่อมไม่ยินยอมและแจ้งขอยกเลิกข้อตกลงที่ทำกันไว้ โจทก์จึงร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่นายเชื่อมในข้อหาบุกรุกที่ดินพิพาท ผลคดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง ตามสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4133/2536 ของศาลชั้นต้น ต่อมานายเชื่อมถึงแก่ความตาย จำเลยได้ปลูกบ้านหลังใหม่ในที่ดินพิพาท คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยซึ่งเป็นทายาทของนายเชื่อมปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว และโจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทหรือไม่ เห็นว่า นายเชื่อมและจำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2528 หรือก่อนปี 2528 อันเป็นการบุกรุกแย่งการครอบครอง เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปี นับแต่เวลาที่จำเลยบุกรุกเข้าแย่งการครอบครอง โจทก์ย่อมหมดสิทธิฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครอง และสิทธิครอบครองของโจทก์ย่อมสิ้นสุดลง คดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังกล่าวในการวินิจฉัยคดีนี้ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ดังที่บัญญัติไว้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46 ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทของโจทก์ได้สิ้นสุดแล้ว และคำพิพากษาคดีส่วนอาญาดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์และนายเชื่อมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 โจทก์จะมารื้อร้องฟ้องขอให้บังคับจำเลยทายาทของนายเชื่อมปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์มีมาก่อนที่ศาลในคดีส่วนอาญาได้พิพากษาไปแล้ว และห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันอีกไม่ได้ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.