คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 849/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การตีความรัฐธรรมนูญ มาตรา115 ศาลมีอำนาจตีความได้เพราะไม่ใช่ปัญหาอันอยู่ในวงงานของสภาฯ
คำว่า’มิได้เป็นไปโดยชอบ’ ตาม พ.ร.บ.การเลือกตั้งฯ มาตรา 60นั้นจะเป็นด้วยเหตุประการใดๆก็ได้ เช่นมิชอบด้วยข้อเท็จจริง มิชอบด้วยข้อกฎหมายก็นับว่าอยู่ในข่ายของคำว่าการเลือกตั้งหรือได้รับเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยชอบทั้งสิ้น
ผู้เลือกตั้งมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลเมื่อเห็นว่าการเลือกตั้งหรือได้รับเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยชอบ
คำว่า’ในวาระเริ่มแรกภายในระยะเวลา 10 ปี’ในรัฐธรรมนูญ ม.115เมื่อพิจารณาประกอบกับ ม.45,46,47 แล้วมีความหมายว่าให้มี ส.ส.2 ประเภทจำนวนเท่ากันในวาระเริ่มแรกหาใช่ว่าต้องมี 2 ประเภทเท่ากันตลอดไปภายในระยะเวลาไม่เกิน 10 ปี
ส.ส.ประเภท 2 ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งขึ้นไว้แล้ว 123 คนในวันใช้บังคับรัฐธรรมนูญนั้นเป็นจำนวนตายตัวไม่มีบัญญัติให้เพิ่มหรือลดลงได้ นอกจากจะลดหรือตั้งซ่อมตาม ม.116 ในเมื่อได้ใช้บังคับรัฐธรรมนูญนี้ไปแล้ว 5 ปี ถ้ามีผู้มีสิทธิเลือกตั้งในจังหวัดใดได้รับการศึกษาอบรมจบชั้นประถมศึกษาตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการเป็นจำนวนเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมดในจังหวัดนั้นก็ให้ส.ส.ประเภทที่ 2 ออกจากตำแหน่งมีจำนวนเท่าจำนวนส.ส.ที่มีการเลือกตั้งในจังหวัดนั้นหรือในระหว่างที่มีส.ส.ประเภท 2 ตามมาตรานี้ ถ้าตำแหน่งส.ส.ประเภท2 ว่างลงโดยมิใช่การออกตามความดั่งกล่าวข้างต้น ก็ให้มีการตั้งซ่อมได้เท่าจำนวนตำแหน่งที่ว่าง

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าผู้ร้องเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งจังหวัดชลบุรี เห็นว่าการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งจังหวัดชลบุรีเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2500 เป็นไปโดยมิชอบ เพราะ ส.ส.ประเภทที่ 1 สำหรับจังหวัดชลบุรีซึ่งคราวก่อนมีจำนวน 1 คนคราวนี้เป็น 2 คน ได้แก่ พล.ต.ศิริ และ พ.อ.ประยงค์ เพิ่มขึ้นกว่าเดิม ทำให้จำนวนรวมของ ส.ส.ประเภทที่ 1 ล้นจำนวน 123 คน ไม่เท่ากันกับจำนวน ส.ส. ประเภทที่ 2 ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ม. 115 จึงขอให้ศาลมีคำสั่งให้มีการเลือกตั้งจังหวัดชลบุรีใหม่

ผู้คัดค้านทั้งสามยื่นคำคัดค้านใจความต้องกันว่า ผู้ร้องไม่มีสิทธิจะยื่นคำร้องต่อศาลและการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งจังหวัดชลบุรี ดังกล่าวเป็นไปโดยชอบ เพราะจังหวัดชลบุรีมีราษฎรเกินกว่าสามแสนเศษ เลือกตั้ง ส.ส.ประเภทที่ 1 ได้2 คน ไม่เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ

คดีนี้เถียงกันเฉพาะข้อกฎหมาย คู่ความจึงไม่สืบพยานในประเด็นข้อแรก ผู้คัดค้านว่า ผู้ร้องไม่มีสิทธิจะยื่นคำร้องต่อศาลด้วยเหตุ 3 ประการ

(1) กรณีเป็นเรื่องขอให้ตีความรัฐธรรมนูญ ซึ่งศาลไม่มีอำนาจตีความ เป็นอำนาจของสภาฯ โดยเฉพาะ ตามรัฐธรรมนูญ ม.112

(2) พ.ร.บ.การเลือกตั้งฯ ม. 60 เป็นกฎหมายพิเศษให้ร้องคัดค้านการเลือกตั้งเมื่อเห็นว่า “มิได้เป็นไปโดยชอบ” ซึ่งหมายถึงเป็นการฝ่าฝืนเฉพาะตามบทบัญญัติของ พ.ร.บ.การเลือกตั้งฯ โดยตรงเท่านั้น แต่คดีนี้ผู้ร้องหาได้ร้องตามกฎหมายเลือกตั้งหากแต่ร้องว่าการเลือกตั้งขัดต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นคนละเรื่องไม่เกี่ยวข้องกันเลย

(3) ผู้ร้องไม่มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการเลือกตั้ง และการขอให้ตีความในรัฐธรรมนูญก็ไม่ใช่สิทธิหรือหน้าที่ของผู้ร้องที่จะใช้สิทธิทางศาล การร้องของผู้ร้องจึงขัดกับ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 55

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อตัดคำร้องในประการที่ 1-2 รวมกัน

ตามรัฐธรรมนูญ ม. 112, 113, 114 และ พ.ร.บ.การเลือกตั้งฯ ม. 60 เห็นว่าเป็นอำนาจของสภาฯ โดยเฉพาะที่จะตีความรัฐธรรมนูญอันอยู่ในวงงานของสภาพฯ แต่ถ้ามิได้อยู่ในวงงานของสภาแล้วก็มิได้อยู่ในข่ายนั้น

ผู้เลือกตั้งมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลเมื่อเห็นว่าการเลือกตั้งหรือได้รับเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยชอบ

คำว่า “มิได้เป็นไปโดยชอบ” จะเป็นด้วยเหตุประการใด ๆ ก็ตาม เช่นมิชอบด้วยข้อเท็จจริง มิชอบด้วยข้อกฎหมาย ก็นับว่าอยู่ในข่ายของคำว่าผู้ร้องเห็นว่าการเลือกตั้งหรือได้รับเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยชอบได้ทั้งสิ้น ศาลชอบที่จะพิจารณาพิพากษาได้ตาม พ.ร.บ.การเลือกตั้งฯ ม. 60-61 ประกอบด้วยรัฐธรรมนูญ ม. 114 เมื่อศาลเห็นว่าบทบัญญัตินั้นไม่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ก็ดำเนินการพิจารณาพิพากษาไปได้ทีเดียว หากเห็นว่าขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญแล้ว ศาลจะทำความเห็นเช่นว่านั้นไปตามทางการและรับเอาคำวินิจฉัยของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญมาเป็นข้อพิพาทชี้ขาดในคดีซึ่งจะเป็นโดยวิธีใดก็ตาม เมื่อสรุปแล้วก็จะต้องบังคับคดีไปในรูปเดียวกันคือโดยคำพิพากษาชี้ขาดของศาลทั้งสิ้น

ศาลฎีกาจึงเห็นว่าผู้ร้องมีสิทธิจะยื่นคำร้องต่อศาลได้เมื่อเป็นการใช้สิทธิทางศาลเกี่ยวด้วยข้อโต้แย้งเช่นนี้แล้วก็ตรงตามลักษณะที่ระบุไว้ใน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 55

ข้อตัดคำร้องของผู้ร้องฟังไม่ขึ้นทั้ง 3 ประการ

ในประเด็นข้อหลังปัญหาว่าการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งจังหวัดชลบุรีเมื่อ 26 ก.พ. 2500 เลือกได้ ส.ส. ประเภทที่ 1 สองคน ถูกต้องตามเกณฑ์จำนวนราษฎรตาม พ.ร.บ.การเลือกตั้งฯ ม. 7 นั้น จะขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ม. 115 เพียงไรหรือไม่

คำว่า “ในวาระเริ่มแรกภายในระยะเวลาสิบปี” ในรัฐธรรมนูญ ม. 115 เมื่อพิจารณาประกอบกับ ม. 45, 46, 47 แล้ว มีความหมายว่าให้มี ส.ส. 2 ประเภทจำนวนเท่ากันในวาระเริ่มแรก หาใช่ว่าต้องมี 2 ประเภทเท่ากันตลอดไปภายในระยะเวลาไม่เกิน 10 ปี

ศาลฎีกาพิจารณาตัวบทรัฐธรรมนูญโดยตลอดแล้ว เห็นว่า ส.ส. ประเภทที่ 2ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งขึ้นไว้แล้ว 123 คน ในวันที่ใช้บังคับรัฐธรรมนูญนั้นเป็นจำนวนตายตัว ไม่มีบัญญัติให้เพิ่มหรือลดลงได้ นอกจากจะลดหรือตั้งซ่อมตาม ม. 116 ในเมื่อได้ใช้บังคับรัฐธรรมนูญนี้ไปแล้ว 5 ปี ถ้าผู้มีสิทธิเลือกตั้งในจังหวัดใดได้รับการศึกษาอบรมจบชั้นประถมศึกษาตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ เป็นจำนวนเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมดในจังหวัดนั้น ก็ให้ ส.ส. ประเภทที่ 2 ออกจากตำแหน่งมีจำนวนเท่าจำนวน ส.ส. ที่มีการเลือกตั้งในจังหวัดนั้น หรือในระหว่างที่มี ส.ส. ประเภท 2 ตามมาตรานี้ถ้าตำแหน่ง ส.ส. ประเภทที่ 2 ว่างลง โดยมิใช่การออกตามความดังกล่าวข้างต้นก็ให้มีการตั้งซ่อมได้เท่าจำนวนตำแหน่งที่ว่าง

ฉะนั้นในการเลือกตั้ง ส.ส.ประเภทที่ 1 รอบใหม่ เมื่อ 26 ก.พ. 2500 ซึ่งอนุวัตรตามรัฐธรรมนูญ ม. 46, 47 จึงไม่จำต้องให้มีเพียง 123 คนเท่าประเภทที่ 2 ดังคำกล่าวอ้างของผู้ร้องไม่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญและอ้างตามบันทัดฐานซึ่งวินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ในคำพิพากษาฎีกาที่ 843-848/2500 ระหว่าง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กับพวก โจทก์ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครกับพวกจำเลย

ศาลฎีกาให้ยกคำร้องของผู้ร้อง

Share