แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความชั่วคราว หากคดีอาญาพิพากษาเสร็จแล้ว ให้โจทก์แถลงเพื่อยกคดีขึ้นพิจารณาต่อไปภายใน 15 วัน มิฉะนั้นศาลจะไม่ยกคดีขึ้นพิจารณา โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งศาล เมื่อโจทก์ทราบคำพิพากษาศาลฎีกาคดีดังกล่าวแล้ว โจทก์มิได้แถลงต่อศาลภายในกำหนดระยะเวลาตามคำสั่งศาล และเพิ่งมายื่นคำร้องต่อศาลให้ยกคดีขึ้นพิจารณาต่อไปหลังจากทราบคำพิพากษาศาลฎีกาแล้วประมาณ6 เดือน แสดงว่าโจทก์ปล่อยปละละเลยไม่ใส่ใจปฏิบัติตามคำสั่งศาลกรณีจึงไม่มีเหตุสมควรยกคดีขึ้นพิจารณา
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของโจทก์ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 ยักยอกเงินค่าสินค้าของโจทก์ที่โจทก์มอบหมายให้จำเลยที่ 1 ไปเก็บจากลูกค้าของโจทก์รวมหลายรายการ โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยทั้งสองไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินที่ยักยอกไปพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างนัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 9 มีนาคม 2536 ทนายโจทก์ยื่นคำร้องว่าคดีนี้เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1348/2539ของศาลแขวงธนบุรี ขอให้ศาลชั้นต้นจำหน่ายคดีออกจากสารบบความชั่วคราวเพื่อรอผลการพิจารณาพิพากษาคดีส่วนอาญา จำเลยทั้งสองคัดค้าน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความชั่วคราวหากคดีอาญาดังกล่าวพิจารณาเสร็จแล้ว ให้โจทก์หรือจำเลยทั้งสองแถลงเพื่อหยิบยกคดีขึ้นพิจารณาต่อไปภายใน 15 วัน มิฉะนั้นจะไม่ยกคดีขึ้นพิจารณา
ต่อมาเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2541 โจทก์ยื่นคำร้องว่า ศาลแขวงธนบุรีได้อ่านคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าวของศาลฎีกาเมื่อวันที่ 20 มกราคม2541 แต่ทนายโจทก์ไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบ โจทก์เพิ่งทราบเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2541 จึงไม่สามารถแถลงเพื่อให้ศาลหยิบยกคดีขึ้นพิจารณาต่อไปได้ภายในกำหนด 15 วัน ขอให้ศาลชั้นต้นหยิบยกคดีขึ้นพิจารณาต่อไป
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า มีเหตุสมควรยกคดีขึ้นพิจารณาหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ได้ลงลายมือชื่อทราบคำสั่งศาลที่ให้จำหน่ายคดีนี้ออกจากสารบบความชั่วคราวหากคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1348/2534 ของศาลแขวงธนบุรี ศาลพิพากษาเสร็จแล้ว ให้โจทก์แถลงเพื่อยกคดีขึ้นพิจารณาต่อไปภายใน15 วัน มิฉะนั้นศาลจะไม่ยกคดีขึ้นพิจารณาตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 9 มีนาคม 2536 โจทก์จึงทราบและมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งศาลดังกล่าวได้ความว่าโจทก์ทราบคำพิพากษาศาลฎีกาคดีดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2541 โดยโจทก์ได้ไปฟังคำพิพากษาด้วยตนเอง ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลแขวงธนบุรี เอกสารหมาย ร.3 โจทก์กลับมิได้ดำเนินการแถลงต่อศาลภายในกำหนดระยะเวลาตามคำสั่งศาลแต่อย่างใด และเพิ่งมายื่นคำร้องต่อศาลให้ยกคดีขึ้นพิจารณาต่อไปเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2541 ซึ่งเป็นระยะเวลาเนิ่นนานหลังจากทราบคำพิพากษาศาลฎีกาแล้วประมาณ6 เดือน แสดงว่าโจทก์ปล่อยปละละเลยไม่ใส่ใจปฏิบัติตามคำสั่งศาลทั้งคำสั่งศาลดังกล่าวก็ชัดเจนและสามารถปฏิบัติได้โดยโจทก์ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้มีความรู้เชี่ยวชาญในกฎหมายแต่อย่างใด ข้ออ้างของโจทก์ว่าไม่เข้าใจความหมายของคำสั่งศาลจึงไม่อาจรับฟังได้ กรณีจึงไม่มีเหตุสมควรยกคดีขึ้นพิจารณา ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่โจทก์ขอให้ศาลฎีกาสั่งคืนค่าขึ้นศาลให้แก่โจทก์ตามสมควรด้วยนั้น เป็นข้อที่โจทก์เพิ่งยกขึ้นมาในชั้นฎีกา มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายืน