คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 124/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินสองแปลง แต่ไม่สามารถจดทะเบียนโอนที่ดินแก่กัน ตามกำหนดนัดที่ตกลงกันไว้ได้ เพราะยังโต้เถียงกันไม่เป็นที่ยุติว่าผู้ใดจะเป็นผู้ออกค่าธรรมเนียมการโอน ค่าอากร ซื้อขายและค่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จำเลยได้ยื่นฟ้องโจทก์ในคดีก่อน ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้โจทก์ จดทะเบียนโอนที่ดินทั้งสองแปลงให้แก่จำเลย โดยให้โจทก์เป็นฝ่ายชำระค่าธรรมเนียมการโอนค่าอากรและค่าภาษี ในส่วนที่เกี่ยวกับราคาซื้อขายตามบัญชีกำหนดจำนวนทุนทรัพย์ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินที่กำหนดไว้สำหรับที่ดินทั้งสองแปลง และกำหนดให้โจทก์และจำเลยชำระค่าธรรมเนียมการโอน ค่าอากรและค่าภาษีในส่วนที่เกินจากราคาประเมินดังกล่าวฝ่ายละครึ่ง เมื่อปรากฎว่า ค่าธรรมเนียมการโอน ค่าอากรและค่าภาษีในการโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์พิพาทเกินกว่าราคาประเมิน แม้โจทก์จะได้ออกเงินค่าธรรมเนียมการโอน ค่าอากร และค่าภาษีในการโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์พิพาทในส่วนที่เกินราคาประเมินไปแต่ผู้เดียว จำเลยก็มีความผูกพันตามคำพิพากษาที่จะต้องชำระคืนให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง ก่อนจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์พิพาท โจทก์ได้แจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับค่าธรรมเนียม ในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์พิพาทให้จำเลยทราบแล้ว จำเลยจึงไม่อาจอ้างว่าโจทก์สมัครใจชำระค่าธรรมเนียมการโอนค่าอากร และค่าภาษีทั้งหมดแต่ผู้เดียว และไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระครึ่งหนึ่ง เพราะจำเลยไม่สมัครใจได้การที่โจทก์แจ้งให้จำเลยทราบก็เพื่อให้จำเลยเตรียมเงินมาชำระในส่วนของจำเลยในวันโอน เมื่อจำเลยไม่ได้เตรียมเงินมาและจำเลยยืนยันไม่ยอมออกค่าธรรมเนียมการโอน ค่าอากร ค่าภาษีของจำเลยครึ่งหนึ่ง โจทก์ก็มีสิทธิที่จะไม่โอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์พิพาทให้แก่จำเลยได้ เพราะตามคำพิพากษาเป็นเรื่องต้องปฏิบัติตอบแทนกัน เมื่อฝ่ายใดไม่ปฏิบัติ อีกฝ่ายก็ย่อมไม่ปฏิบัติได้ กรณีแสดงให้เห็นว่าจำเลยยอมให้โจทก์ออกเงินส่วนที่จำเลยจะต้องชำระแทนจำเลยไปก่อน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนเงิน ๓,๙๓๐,๒๔๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๓,๖๓๐,๓๖๒ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า หนังสือมอบอำนาจเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๑ โจทก์มิได้ลงลายมือชื่อไว้ ลายมือชื่อในช่อง ผู้มอบอำนาจเป็นลายมือชื่อปลอม นายเชาว์น วามสิงห์ จึงไม่มีอำนาจดำเนินคดีแทนโจทก์ โจทก์เคยแจ้งให้จำเลย ชำระค่าธรรมเนียมการโอนเป็นเงิน ๓,๖๓๐,๓๖๒ บาท แต่จำเลยยืนยันให้โจทก์เป็นฝ่ายชำระ โจทก์ยินยอมและ แจ้งให้จำเลยไปรับโอนที่ดิน โจทก์จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๒๗๔๑ และ ๓๒๗๔๓ ให้จำเลย เมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๓๗ ตามคำพิพากษาของศาลแพ่ง โดยโจทก์ชำระค่าธรรมเนียมการโอน ค่ากรและค่าภาษีจำนวน ๗,๕๗๒,๒๐๐ บาท โดยมิได้โต้แย้งสิทธิหรือสงวนสิทธิในการชำระเงินแต่ประการใด จำเลยไม่เคยตกลงหรือ ให้สัญญากับโจทก์ว่าจำเลยจะร่วมออกเงินในการโอนด้วย การที่โจทก์ชำระเงินไปจึงไม่ใช่เป็นการทดรองจ่ายแทนจำเลยแต่เป็นการชำระไปตามอำเภอใจ โดยรู้อยู่แล้วว่าไม่มีความผูกพันต้องชำระ จึงไม่มีสิทธิมาเรียกร้องจากจำเลยทั้งในเงินที่โจทก์ชำระไปและดอกเบี้ย ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาคู่ความแถลงร่วมกันว่าตกลงประเด็นข้อพิพาทกันเพียงประเด็นเดียวว่าจำเลยจะต้องรับผิด ชดใช้หนี้ค่าธรรมเนียมคืนโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ โดยจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงว่า วันที่ไปทำการจดทะเบียน โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๓๗ โจทก์ได้ชำระค่าธรรมเนียมการโอนจำนวน ๗,๕๗๒,๒๐๐ บาท ไปแต่ผู้เดียว จำเลยได้ชำระราคาทรัพย์ส่วนที่เหลือจำนวน ๓๑,๑๗๘,๖๐๐ บาท ให้แก่โจทก์ และโจทก์แถลงขอคิดดอกเบี้ยก่อนฟ้องจากร้อยละ ๑๕ ต่อปี เป็นร้อยละ ๗.๕ ต่อปี
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๓,๖๓๐,๓๖๒ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับตั้งแต่วันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๓๙ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๒๐,๐๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ ๑๕,๐๐๐ บาท แทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ระหว่างพิจารณา โจทก์ถึงแก่กรรมนายอภิชาติ ชโยภาส ทายาทของโจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลฎีกาอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นว่า ตามคำพิพากษาศาลแพ่งคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๒๗๒๕/๒๕๓๕ ซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีถึงที่สุดโดยไม่มีฝ่ายใดฎีกากำหนดผู้มีหน้าที่จะต้องชำระค่าธรรมเนียมการโอน ค่าอากรและค่าภาษีใน การจดทะเบียนการโอนทรัพย์พิพาทไว้เป็น ๒ ตอน ตอนแรกให้จำเลย (โจทก์คดีนี้) เป็นฝ่ายชำระค่าธรรมเนียมการโอน ค่าอากรและค่าภาษีในส่วนที่เกี่ยวกับราคาซื้อขายตามบัญชีกำหนดจำนวนทุนทรัพย์ในการจดทะเบียนสิทธิและ นิติกรรมเกี่ยวกับที่ดิน (ราคาประเมิน) ที่กำหนดไว้สำหรับที่ดินทั้งสองแปลงนั้น ตอนที่สองให้โจทก์และจำเลย ชำระค่าธรรมเนียมการโอน ค่าอากรและค่าภาษีในส่วนที่เกินจากราคาประเมินดังกล่าวฝ่ายละครึ่ง ตามคำพิพากษา ดังกล่าวมีความหมายชัดแจ้งอยู่แล้วว่าสำหรับค่าธรรมเนียมการโอน ค่าอากรและค่าภาษีในส่วนที่เกินจากราคาประเมินโจทก์และจำเลยจะต้องออกฝ่ายละครึ่ง สำหรับราคาประเมินตามคำพิพากษาดังกล่าวศาลฎีกามีคำพิพากษาว่าหมายถึงราคาประเมินของทรัพย์พิพาทที่ใช้อยู่ในขณะเกิดข้อพิพาทเมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๓๒ มิใช่หมายถึงราคาประเมินในขณะทำการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์พิพาทในวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๓๗ เมื่อราคาทรัพย์พิพาททั้งสองแปลงมีราคาประเมินสำหรับใช้ในการเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในขณะเกิดข้อพิพาทเมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๓๒ เป็นเงินรวมกันเพียง ๕,๔๘๖,๓๔๘ บาท และต้องเสียค่าธรรมเนียมการโอน ค่าอากร และค่าภาษี รวมกันเป็นเงินเพียง ๓๑๑,๔๗๖ บาท แต่ในขณะทำการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์พิพาทในวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๓๗ ทรัพย์พิพาททั้งสองแปลงมีราคาประเมินสำหรับใช้ในการเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและ นิติกรรมเป็นเงินรวมกันถึง ๖๐,๙๘๔,๐๐๐ บาท และต้องเสียค่าธรรมเนียมการโอน ค่าอากร และค่าภาษีรวมกันเป็นเงิน ๗,๕๗๒,๒๐๐ บาท ค่าธรรมเนียมการโอน ค่าอากรและค่าภาษีในการโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์พิพาทที่เกินจากจำนวน ๓๑๑,๔๗๖ บาท โจทก์และจำเลยจึงต้องออกกันคนละครึ่งตามคำพิพากษาศาลแพ่งดังกล่าว เมื่อโจทก์ได้ออกเงิน ค่าธรรมเนียมการโอนค่าอากรและค่าภาษีในการโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์พิพาทในส่วนที่เกินจากราคาประเมินเมื่อปี ๒๕๓๒ ไปแต่ผู้เดียวเป็นเงิน ๗,๒๖๐,๗๒๔ จำเลยจึงต้องมีความผูกพันตามคำพิพากษาที่จะต้องชำระคืนให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่งเป็นเงิน ๓,๖๓๐,๓๖๒ บาท ตามฟ้อง ก่อนจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์พิพาท โจทก์อ้างว่าได้แจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับ ค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์พิพาทในปี ๒๕๓๒ และในปี ๒๕๓๗ ให้จำเลยทราบแล้วว่าจำเลยจะต้องชำระค่าธรรมเนียมการโอน ค่าอากรและค่าภาษีครึ่งหนึ่งเป็นเงิน ๓,๖๓๐,๓๖๒ บาท ซึ่งตามคำให้การจำเลยก็ยอมรับว่าโอนจากโจทก์ เช่นนี้ จำเลยไม่อาจอ้างว่าโจทก์สมัครใจชำระค่าธรรมเนียมการโอน ค่าอากรและค่าภาษีทั้งหมด แต่ผู้เดียว และไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระครึ่งหนึ่งเพราะจำเลยไม่สมัครใจได้ เพราะถ้าเป็นอย่างที่จำเลยอ้างโจทก์จะแจ้งให้จำเลยทราบก่อนโอนทำไมว่าจำเลยจะต้องเสียค่าธรรมเนียมการโอน ค่าอากรและค่าภาษีเป็นเงินเท่าไร การที่โจทก์แจ้งให้จำเลยทราบแสดงให้เห็นว่าเพื่อให้จำเลยเตรียมเงินมาชำระในส่วนของจำเลยในวันโอน เมื่อจำเลย ไม่ได้เตรียมเงินมาและโจทก์ยอมออกเงินค่าธรรมเนียมการโอน ค่าอากรและค่าภาษีทั้งหมดไปก่อน จึงเป็นการ ทดรองจ่ายแทนจำเลย เพราะหากจำเลยยืนยันไม่ยอมออกส่วนของจำเลยครึ่งหนึ่ง โจทก์ก็มีสิทธิที่จะไม่ยอม โอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์พิพาทให้แก่จำเลยได้เพราะตามคำพิพากษาศาลแพ่งเป็นเรื่องต้องปฏิบัติตอบแทนกัน เมื่อฝ่ายใดไม่ปฏิบัติอีกฝ่ายก็ย่อมไม่ปฏิบัติได้ จึงแสดงให้เห็นว่าจำเลยยอมให้โจทก์ออกเงินส่วนที่จำเลยจะต้องชำระแทน จำเลยไปก่อน การโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์พิพาทจึงเกิดมีขึ้นในวันดังกล่าว ที่จำเลยฎีกาว่าก่อนวันจดทะเบียนโอน โจทก์ไม่ได้แจ้งค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนโอนให้จำเลยทราบก่อนก็ดี จำเลยไม่ได้ตกลงที่จะออกค่าธรรมเนียมการโอนคนละครึ่งกับโจทก์ก็ดี และโจทก์ออกค่าธรรมเนียมการโอนไปทั้งหมดแต่ผู้เดียวตามอำเภอใจก็ดี จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ต้อง ชำระเงินส่วนที่จำเลยจะต้องออกครึ่งหนึ่งพร้อมด้วยดอกเบี้ยตามที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาจึงไม่มีเหตุผลที่รับฟังได้ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา ๑๐,๐๐๐ บาท แทนโจทก์.

Share