คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1146-1147/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้จำเลยซึ่งเป็นบุตรสาว จะได้อยู่บ้านปรนนิบัติโจทก์ผู้เป็นบิดามาแต่ผู้เดียวในเวลา เดียวกับที่พี่ ๆ น้อง ๆ ไปศึกษาเล่าเรียกหรือไปอยู่ต่างจังหวัดก็ดี การที่โจทก์ให้กรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นจำนวนมากราคาสูง และเป็นทรัพย์ส่วนใหญ่ให้แก่จำเลยแต่ผู้เดียว ส่วนบุตรคนอื่น ๆ ไม่ได้ ก็มีลักษณะที่แสดงให้เห็นว่า เนื่องจากจากเหตุบางประการที่ไม่ปรากฏชัดแจ้งในสำนวน เช่นนี้ ไม่ใช่เป็นการให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยา
จำเลยเป็นบุตรสาวของโจทก์ เวลากลางคืนโจทก์ไปตามเด็กหญิง คนใช้ที่บ้านพักจำเลยโดยหาว่าจำเลยเอาเด็กนั้นมากักขังไว้ โจทก์จะให้เด็กกลับบ้านโจทก์ จำเลยไม่ยอม หาว่าโจทก์ปลุกปล้ำเด็กจะเอาเป็นภรรยา เด็กไม่ยอมจึงวิ่งมาหาจำเลย โจทก์จำเลยเถียงกัน จำเลยค่าโจทก์ว่า ไอ้แก่ กูไม่นับถือมึง อ้ายพ่อฉิบหาย โจทก์ตบหน้าจำเลย จำเลยถีบเอาโจทก์ ล้มลง แล้วต่างปล้ำทำร้ายกัน จนร่างกายฟกช้ำดำเขียว ไปทั้งสองฝ่าย โจทก์ด่าจำเลยว่า อีสัตว์อีเหี้ย จำเลยด่าโจทก์ว่า อ้ายแก่ อ้ายเนรคุณ กูไม่นับถือมึง มีคนห้ามจึงเลิกกัน ต่อมาอีก 5 วัน โจทก์และจำเลยมาสถานีตำรวจ เรื่องจำเลยหาว่าโจทก์ลักโฉนด เกิดโต้เถียงกันอีก จำเลยค่า โจทก์ว่า มึงเนรคุณกู กูไม่นับถือมึง แก่แล้วยังบ้าตัณหาข่มขืนเด็ก ทั้งนี้ ต่อหน้าคนหลายคน เช่นนี้ ถือว่าการกระทำของจำเลยเข้าลักษณะเป็นการประพฤติเนรคุณ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 (2) แล้ว คือจำเลยผู้รับได้ทำให้โจทก์ ผู้ให้ เสียชื่อเสียงและหมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรง เพราะจำเลยได้ว่า โจทก์ข่มขืนเด็ก ซึ่งเป็นความผิดอันจักต้องโทษ ทางอาญา การกล่าวอ้าง ทั้งนี้ จะถือว่าเป็นเพียงการค่าว่า โต้ตอบกันไปกันระหว่างจำเลยกับโจทก์ไม่ได้เพราะคำที่กล่าวนั้น มิใช่เพียงคำ หยาบที่ไร้ความหมาย หรือที่มิได้ตั้งใจจะให้มีความหมาย นอกไปจากเป็นคำหยาบ หากแต่เป็นคำกล่าวยืนยัน ข้อเท็จจริงซึ่งจำเลยยกขึ้นว่าเอากับโจทก์ว่าบ้าตัณหาข่มขืนเด็ก กรณีดังนี้ โจทก์ย่อม ถอนคืนการให้ได้

ย่อยาว

คดี ๒ สำนวนนี้ ศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ยกที่ดิน ๗ แปลง ให้นางสาวพูนศรี จำเลย ซึ่งเป็นบุตรโจทก์โดยเสน่หา และมิใช่เป็นการให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยา ต่อมานางสาวพูนศรีจำเลยได้บังอาจทำร้ายร่างกายโจทก์อันเป็นความผิดทางอาณาอย่างร้ายแรง และบังอาจ กล่าวข้อความว่า อ้ายแก่ กูไม่นับถือมึง อ้ายพ่อฉิบหาย อย่างนี้กูไม่คบมึง ต่อหน้าบุคคล หลายคน เป็นหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง และต่อมานางสาวพูนศรี ได้บังอาจกล่าว คำหมิ่นประมาทโจทก์ อย่างร้ายแรงต่อหน้าบุคคลหลายคนว่า อ้ายเนรคุณ แก่อายุตั้ง ๖๘ แล้ว ยังบ้าตัณหา ข่มขืนเด็ก การกระทำของนางสาวพูนศรีจำเลยดังกล่าวเป็นการประพฤติเนรคุณโจทก์ผู้เป็นบิดา โจทก์ขอถอนคืน การให้ที่ดิน นางสาวพูนศรีจำเลยไม่ยอมคืน และนางสาวพูนศรีกับนางสาวสวัสดิ์จำเลยได้สมคบกันโอนที่ดิน ๓ แปลง ในจำนวน ๗ แปลง ดังกล่าวข้างต้น คือ นางสาวพูนศรี โอนขายให้นางสาวสวัสดิ์โดยการไม่สุจริต นางสาวสวัสดิ์ จำเลยรู้อยู่แล้วว่า โจทก์เรียกคืนที่ดินจากนางสาวพูนศรี กระทำให้โจทก์อยู่ในฐานะเสียเปรียบ จึงขอให้บังคับจำเลยคืนที่ดิน ให้โจทก์และเพิกถอนสัญญาซื้อขายโอนกรรมสิทธิ์ดังกล่าว
นางสาวพูนศรีจำเลยให้หารว่า ที่ดิน ๔ แปลง จำเลยซื้อเอง ส่วนอีก ๓ แปลง คือ ที่โจทก์ว่าจำเลยขายให้แก่นางสาวสวัสดิ์จำเลยนั้น นางอินมารดานางสาวพูนศรีจำเลยเป็นผู้ซื้อ ก่อนตายได้ทำพินัยกรรมยกให้นางสาวพูนศรีจำเลย
นางสาวสวัสดิ์ จำเลยให้การต่อสู้ว่า ได้รับโอนที่ดินมาโดยสุจริต และเสียค่าตอบแทน
ศาลชั้นต้นฟังว่า โจทก์สืบได้สมฟ้อง พิพากษาให้นางสาวพูนศรีจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน ๔ แปลงคืนให้โจทก์และให้เพิกถอนสัญญาโอนกรรมสิทธิ์ขายที่ดิน ๓ แปลง ระหว่างจำเลยทั้งสอง และให้นางสาวพูนศรีจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน ๓ แปลงนี้คืนให้โจทก์
นางสาวพูนศรี จำเลยอุทธรณ์ทั้งสองสำนวน
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า ที่ดิน ๔แปลง เป็นช่องนางสาวพูนศรีจำเลย ไม่ใช่ที่ดินที่โจทก์ยกให้ นางสาวพูนศรีจำเลยจะประพฤติเนรคุณต่อโจทก์หรือไม่ โจทก์ก็เรียกที่ดิน ๔ แปลง นี้คืนไม่ได้ ส่วนที่ดินอีก ๓ แปลง มารดาทำพินัยกรรมยกให้นางสาวพูนศรี ฯ มีสิทธิโอนให้นางสาว สวัสดิ์จำเลยได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า ที่ดินทั้ง ๔ แปลง โจทก์เป็นผู้ออกเงินซื้อและยกให้จำเลย ส่วนที่ดินอีก ๓ แปลง ฟังว่าเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับนางอิน ๆ ทำพินัยกรรมยกให้นางสาว พูนศรีจำเลยได้ เฉพาะส่วนของนางอินเท่านั้น อีก ๒ ส่วนใน ๓ ที่เป็นของโจทก์ ๆ โอนใส่ชื่อนางสาวพูนศรี โจทก์เรียกคืนส่วนนี้โดยอ้างเหตุว่า เนรคุณได้
ข้อวินิจฉัยมีว่า นางสาวพูนศรี จำเลยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์หรือไม่
ในชั้นแรกศาลฎีกาเห็นว่า การที่โจทก์ให้กรรมสิทธิ์แก่นางสาว พูนศรีจำเลยดังปรากฏในคดีนี้ หาใช่การให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยา ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ๕๓๕ (๓) ไม่ เพราะแม้นางสาวพูนศรีจำเลยจะได้อยู่กินปรนนิบัติโจทก์มาแต่ผู้เดียว ในเวลาเดียวกันกับที่พี่ ๆ น้อง ๆ ไปศึกษาเล่าเรียนหรือไปอยู่ต่าง จังหวัดก็ดี การที่โจทก์ให้กรรมสิทธิที่ดินเป็นจำนวนมากราคาสูง และเป็นทรัพย์ส่วนใหญ่ให้แก่นางสาวพูนศรีจำเลยแต่ผู้เดียว ส่วนบุตรคนอื่น ๆ ไม่ได้ ก็มีลักษณะที่แสดงเนื่องจากจากเหตุบางประการที่ไม่ปรากฏชัดแจ้งในสำนวน เช่นนี้ ไม่ใช่เป็นการให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยา และไม่ต้องการถอนคืนเพราะเหตุเนรคุณ
ข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อวันที่ ๑๕ ก.พ. ๒๔๙๕ เวลากลางคืนโจทก์ไปตามเด็กหญิง คนใช้ที่บ้านพักจำเลยโดยหาว่าจำเลยเอาเด็กนั้นมากักขังไว้ โจทก์จะให้เด็กกลับบ้านโจทก์ จำเลยไม่ยอม หาว่าโจทก์ปลุกปล้ำเด็กจะเอาเป็นภรรยา เด็กไม่ยอมจึงวิ่งมาหาจำเลย โจทก์จำเลยเถียงกัน จำเลยค่าโจทก์ว่า ไอ้แก่ กูไม่นับถือมึง อ้ายพ่อฉิบหาย โจทก์ตบหน้าจำเลย จำเลยถีบเอาโจทก์ ล้มลง แล้วต่างปล้ำทำร้ายกัน จนร่างกายฟกช้ำดำเขียว ไปทั้งสองฝ่าย โจทก์ด่าจำเลยว่า อีสัตว์อีเหี้ย จำเลยด่าโจทก์ว่า อ้ายแก่ อ้ายเนรคุณ กูไม่นับถือมึง มีคนห้ามจึงเลิกกัน ต่อมาวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๕ โจทก์และจำเลยมาสถานีตำรวจ เรื่องจำเลยหาว่าโจทก์ลักโฉนด เกิดโต้เถียงกันอีก จำเลยค่า โจทก์ว่า มึงเนรคุณกู กูไม่นับถือมึง แก่แล้วยังบ้าตัณหาข่มขืนเด็ก ทั้งนี้ ต่อหน้าคนหลายคน
ศาลฎีกาเห็นว่า การกระทำของจำเลยเข้าลักษณะเป็นการประพฤติเนรคุณ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๓๑ (๒) แล้ว คือจำเลยผู้รับได้ทำให้โจทก์ ผู้ให้ เสียชื่อเสียงและหมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรง เพราะจำเลยได้ว่า โจทก์ข่มขืนเด็ก ซึ่งเป็นความผิดอันจักต้องโทษ ทางอาญา การกล่าวอ้าง ทั้งนี้ จะถือว่าเป็นเพียงการค่าว่า โต้ตอบกันไปกันระหว่างจำเลยกับโจทก์ไม่ได้ เพราะคำที่กล่าวนั้น มิใช่เพียงคำ หยาบที่ไร้ความหมาย หรือที่มิได้ตั้งใจจะให้มีความหมาย นอกไปจากเป็นคำหยาบ หากแต่เป็นคำกล่าวยืนยัน ข้อเท็จจริงซึ่งจำเลยยกขึ้นว่าเอากับโจทก์ว่าบ้าตัณหาข่มขืนเด็ก
ส่วนที่ดินอีก ๓ โฉนด ศาลฎีกาฟังว่า นิติกรรมซื้อขายที่ดินรายนี้ระหว่างจำเลยทั้งสอง ทำกันเพียงเป็นพิธีเท่านั้น และเป็นไปโดยสมยอมกัน เพื่อป้องกันมิให้โจทก์เรียกที่รายนี้คืน
ศาลฎีกาพิพากษากลับศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share