แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกล่าวคำหลอกลวงขอยืมรถจักรยาน 2 ล้อ ไปทวงหนี้กับผู้มีชื่อ ดังนี้ ไม่มีมูลความผิดทางอาญาฐานฉ้อโกง เป็นแต่ผิดคำรับรองที่จำเลยให้ไว้ล่วงหน้าว่าจะไปทำกิจอย่างนั้นแล้วมิได้ไปทำเท่านั้น เพราะความสำคัญอยู่ที่จำเลยจะขอยืมรถเจ้าทรัพย์ ส่วนที่ว่าจะไปทวงหนี้ ก็เป็นแต่คำกล่าวประกอบการขอยืม ฟ้องโจทก์ก็มิได้กล่าวว่า ถ้าจำเลยไม่อ้างว่า จะไปทวงหนี้แล้ว เจ้าทรัพย์ก็จะไม่ให้ (อ้างฎีกาที่ 1187/2500)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยบังอาจกล่าวคำหลอกลวงนายสิบตำรวจตรีปกรณ์ โดยขอยืมรถจักรยาน ๒ ล้อ ของนายสิบ ตำรวจตรีปกรณ์ ไปทวงหนี้กับผู้มีชื่อ อันเป็นความเท็จ โดยมีเจตนาทุจริต ประสงค์จะหลอกลวงนายสิบตำรวจตรีปกรณ์ยมอบรถจักรยานให้ นายสิบตำรวจตรีปกรณ์หลงเชื่อ จึงมอบรถจักรยาน ๒ ล้อ ๑ คันให้แก่จำเลยไป ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นและศาล อุทธรณ์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้เข้าใจว่า เป็นเท็จตรงไหน และความจริงเป็นอย่างไร หากจะหมายความว่า เป็นความเท็จตรงที่ว่าจะยืมไปทวงหนี้กับผู้มีชื่อ ซึ่งความจริงไม่ได้ไปทวงหนี้ ถ้าเช่นนั้น ก็ไม่ใช่เป็นการกล่าวเท็จหลอกลวงอันจะเป็นมูลความผิดทางอาญาฐานฉ้อโกง เป็นแต่ผิดคำรับรองที่จำเลยให้ไว้ล่วงหน้าว่าจะไปทำกิจอย่างนั้นแล้วมิได้ไปทำเท่านั้น เพราะความสำคัญอยู่ที่จำเลยจะขอยืมรถเจ้าทรัพย์ ส่วนที่ว่าจะไปทวงหนี้ ก็เป็นแต่คำกล่าวประกอบการขอยืม ฟ้องโจทก์ก็มิได้กล่าวว่า ถ้าจำเลยไม่อ้างว่า จะไปทวงหนี้แล้ว เจ้าทรัพย์ก็จะไม่ให้
พิพากษายืน