แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้บังคับกองตำรวจสั่งให้จำเลยซึ่งเป็นตำรวจใต้บังคับบัญชาไปจับกุมผู้ต้องหาโดยไม่ได้ออกหมายจับจำเลยไปจับผู้ต้องหาโดยเข้าใจว่าคำสั่งนั้นเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะได้ถือเป็นหลักปฏิบัติกันตลอดมาว่าไปจับได้ แม้การกระทำของจำเลยจะเป็นการมิชอบ จำเลยทั้งสองก็ไม่ต้องรับโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 70
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑,๒,๓ รับราชการเป็นเจ้าพนักงานตำรวจประจำสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองพัทลุง จำเลยที่ ๔ เป็นราษฎร ได้ร่วมกันกระทำผิดกล่าวคือ ได้ใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบขู่เข็ญให้นายกลับ นางเลื่อน ส่งเงินให้ ๕๐๐ บาท ถ้าไม่ให้จะจับกุมนายเริ่มและหน่วงเหนี่ยวกักขังไว้ที่สถานีตำรวจ นายเริ่มไม่ร้องทุกข์แล้ว ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๔๘,๓๑๐,๓๓๗,๘๓
จำเลยทั้ง ๔ ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ ๒,๓ จับนายเริ่มตามคำร้องทุกข์ ไม่ได้กระทำโดยเจตนากลั่นแกล้ง ขาดเจตนาตามมาตรา ๕๙ จึงไม่ผิดตามมาตรา ๓๑๐ ส่วนข้อหาเรียกเอาเงินนั้น ไม่เชื่อพยานหลักฐานโจทก์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยที่ ๒,๓ จับนายเริ่มโดยไม่มีหมายจับ เป็นการมิชอบ เพราะมิใช่เป็นความผิดซึ่งหน้า และกรณีไมต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๗๘ ข้อ ๔ กล่าวคือ การจับโดยไม่มีหมายจับนั้น จะต้องเป็นเรื่องแจ้งให้จับในปัจจุบันทันด่วน ไม่มีโอกาสที่จะย้อนกลับไปเอาหมายเรียกหรือหมายจับมาได้ทันท่วงที การที่พันตำรวจตรีประธานและจำเลยที่ ๑ สั่งด้วยวาจาให้จำเลยที่ ๒,๓ ไปจับกุมนายเริ่มด้วยวาจา เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย จะอ้างว่าทางตำรวจเคยปฏิบัติกันมาดังนั้นหาได้ไม่ พิพากษาแก้ว่า จำเลยที่ ๑,๒,๓ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๑๐,๘๔ ให้จำคุกคนละ ๓ เดือน ให้รอการลงโทษไว้คนละ ๓ ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๑,๒,๓ ฎีกาขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีมีปัญหาว่า การที่จำเลยที่ ๒,๓ ไปจับนายเริ่มตามที่พันตำรวจตรีประธานซึ่งเป็นเจ้าพนักงานและเป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยทั้งสองสั่งให้ไปจับโดยไม่มีหมายจับนั้น จำเลยที่ ๒,๓ จะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๑๐ หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยที่ ๒,๓ ไปจับนายเริ่มในกรณีดังกล่าวข้างต้น เป็นเรื่องไปจับตามคำสั่งของพันตำรวจตรีประธานซึ่งเป็นเจ้าพนักงาน ถึงแม้จะสั่งด้วยวาจามิได้ออกหมายจับให้ไปก็ดี จำเลยก็เป็นผู้มีหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาซึ่งได้ถือเป็นหลักปฏิบัติกันตลอดมาว่าไปจับได้ ทั้งตามพฤติการณ์ที่ปรากฏก็น่าเชื่อว่าจำเลยทั้งสองน่าจะเข้าใจว่า ตามที่พันตำรวจตรีประธานสั่งให้ไปจับนายเริ่มด้วยวาจาโดยมิได้ออกหมายจับให้ไปนั้น เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะได้ถือปฏิบัติกันเช่นนั้นตลอดมา ฉะนั้น ถึงแม้การกรทำของจำเลยทั้งสองดังกล่างจะเป็นการมิชอบ จำเลยทั้งสองก็ไม่ต้องรับโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๗๐ ถึงแม้ในเบื้องต้นจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ จึงมิได้กระทำผิดดังโจทก์ฟ้อง
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น