คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1194/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1387 ภารจำยอมเหนือที่ดินแปลงหนึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็เพื่อประโยชน์แก่ที่ดินแปลงอื่นเท่านั้น เมื่อที่ดินทั้งหมดยังเป็นของโจทก์ การที่โจทก์ใช้ที่ดินส่วนหนึ่งเป็นทางเดินเข้าออก ก็เป็นเรื่องโจทก์ให้อำนาจกรรมสิทธิ์ในที่ดินของตนเอง แม้จะฟังว่าโจทก์ได้ใช้เป็นทางเดินมาถึง 20 ปี ก่อนขายให้จำเลย ก็ไม่ก่อให้เกิดภารจำยอมเหนือที่ดินของโจทก์เอง
โจทก์ฟ้องมุ่งประสงค์จะให้จำเลยเปิดทางเดินซึ่งเป็นภารจำยอมติดที่ดินซึ่งโจทก์แบ่งขายให้จำเลยประการหนึ่ง และจำเลยยังได้ให้สัญญากับโจทก์ว่าจะเปิดทางให้โจทก์เดินด้วยอีกประการหนึ่ง นอกจากนี้ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยได้เว้นทางให้โจทก์เดินเพียงกว้าง 50 เซ็นติเมตร แสดงว่าบุตรโจทก์สามารถเดินเข้าออกได้ หากโจทก์ไม่พอใจ จะขอให้จำเลยเปิดทางกว้าง 1.5 เมตร ตามที่อ้างว่าเป็นภารจำยอมหรือมีข้อตกลง จึงได้ฟ้องจำเลย มิใช่ที่ดินของโจทก์ตกอยู่ในที่ล้อมไม่มีทางออก เห็นได้ชัดว่าฟ้องโจทก์มิได้ ประสงค์จะอ้างสิทธิในเรื่องทางจำเป็น จึงไม่จำต้องวินิจฉัยข้อฎีกาของโจทก์ต่อไปว่าเป็นทางจำเป็นหรือไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินหมาย ก.ข. ตามแผนที่ท้ายฟ้อง เดิมเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน และเป็นของโจทก์ โจทก์เคยใช้ที่ดินหมาย ข. สำหรับเดินเท้าและยานพาหระออกจากที่ดินหมาย ก. มาถนนยมราช มาประมาณ ๒๐ ปีแล้ว ต่อมาเมื่อ ๑ ปีมานี้ โจทก์ได้ขายที่ดินหมาย ข. ให้จำเลยที่ ๑ ได้พูดตกลงกันว่าให้โจทก์ใช้ทางเดินออกจากที่ดินหมาย ก. มาทางที่ดินหมาย ข. ออกถนนยมราชได้ตามเดิม โดยกว้าง ๑.๕๐ เมตร จำเลยก็ตกลง ตั้งแต่โจทก์ขายที่ดินหมาย ข.ให้แก่จำเลยแล้ว โจทก์ได้ใช้ที่ดินหมาย ข. เป็นทางเดินเท้า และยานพาหนะออกจากที่ดินหมาย ก. มาตามที่ดินหมาย ข. ออกถนนยมราช ต่อมาจำเลยได้สร้างอาคารลงในที่ดินหมาย ข. ได้ว่างแผนผังปิดทางเดินตามที่ได้ตกลงไว้ คงกันทางไว้ให้โจทก์เดินเพียง ๕๐ เซนติเมตร ซึ่งโจทก์จะใช้ยานพาหนะเดินไม่ได้ ขอให้ศาลบังคับจำเลยเปิดทางให้โจทก์ใช้ยานพาหนะในที่ดินหมาย ข.
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่เคยใช้ที่ดินหมาย ข. สำหรับเดินเท้าและล้อเลื่อนออกจากที่ดินหมาย ก. จำเลยไม่เคยพูดตกลงให้โจทก์ใช้ทางเดินออกจากที่ดินหมาย ก. มาทางที่ดินหมาย ข. โจทก์ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ทางผ่านที่ดินหมาย ข. เพราะมีทางอื่นหลายทางใช้ผ่านสู่ถนนยมราชได้
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า ไม่มีข้อตกลงให้จำเลยเปิดทางให้โจทก์เดิน ที่ดิน ๒ แปลงนี้เดิมเป็นแปลงเดียวกัน โจทก์จะใช้ที่ดินนี้มานานเท่าใด ก็ไม่เกิดสิทธิติดที่ดินที่แบ่งขายไป เพราะไม่เป็นภารจำยอม และโจทก์มิได้ฟ้องโดยอาศัยสิทธิภารจำยอม ฟ้องโจทก์มิได้ประสงค์จะอ้างสิทธิในเรื่องทางจำเป็น ปรากฏว่าโจทก์มีทางเข้าออกหลายทาง พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า อสังหาริมทรัพย์อาจตกอยู่ในภารจำยอมอันเป็นเหตุให้เจ้าของต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตน หรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้น ก็เพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่นดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๘๗ ภารจำยอมเหนือที่ดินแปลงหนึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็เพื่อประโยชน์แก่ที่ดินแปลงอื่นเท่านั้น เมื่อที่ดินทั้งหมดยังเป็นของโจทก์ การที่โจทก์ใช้ที่ดินส่วนหนึ่งเป็นทางเดินเข้าออก ก็เป็นเรื่องโจทก์ใช้อำนาจกรรมสิทธิ์ในที่ดินของตนเอง แม้จะฟังว่าโจทก์ได้ใช้เป็นทางเดินมาถึง ๒๐ ปีก่อนขายให้จำเลย ก็ไม่ก่อให้เกิดภารจำยอมเหนือที่ดินของโจทก์เอง
ที่โจทก์ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ได้กล่าวว่าโจทก์ไม่มีทางอื่นจะเดินได้ หมายถึงโจทก์ฟ้องว่า เป็นทางจำเป็นอีกประการหนึ่งนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องมุ่งประสงค์จะให้จำเลยเปิดทางเดินซึ่งเป็นภารจำยอมติดที่ดินซึ่งโจทก์แบ่งขายให้จำเลยประการหนึ่ง และจำเลยยังได้สัญญากับโจทก์ว่าจะเปิดทางให้โจทก์เดินด้วยอีกประการหนึ่งเท่านั้น นอกจากนี้ฟ้องโจทก์ยังบรรยายว่า จำเลยได้เว้นทางให้โจทก์เดินเพียงกว้าง ๕๐ เซนติเมตร แสดงว่าบุตรโจทก์สามารถเดินเข้าออกตามทางนี้ได้อยู่แล้ว หากโจทก์ยังไม่พอใจ จะขอให้จำเลยเปิดทางกว้าง ๑.๕๐ เมตร ตามที่อ้างว่าเป็นภารจำยอมหรือมีข้อตกลง จึงได้ฟ้องจำเลย มิใช่ที่ดินของโจทก์ตกอยู่ในที่ล้อมไม่มีทางออก จึงเห็นได้ชัดว่าฟ้องโจทก์มิได้ประสงค์จะอ้างสิทธิในเรื่องทางจำเป็น จึงไม่จำต้องวินิจฉัยข้อฎีกาของโจทก์ต่อไปว่าเป็นทางจำเป็นหรือไม่
พิพากษายืน

Share