แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 เป็นลูกค้าเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน และได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีไว้กับธนาคารโจทก์ นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ยังได้นำเช็คซึ่งผู้อื่นเป็นผู้ออกมาขายลดให้โจทก์ โดยโจทก์ได้ส่วนลดหมื่นละยี่สิบบาท แม้ข้อตกลงซื้อขายลดเช็คระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จะไม่ปรากฏมีข้อสัญญาว่าหากเช็คเรียกเก็บเงินไม่ได้แล้วจำเลยที่1 จะต้องรับผิดชดใช้เงินแก่โจทก์ก็ตาม แต่การที่จำเลยนำเช็คพิพาทมาเข้าบัญชีเดินสะพัดของจำเลยเพื่อให้โจทก์เรียกเก็บเงิน โดยนำเช็คเข้าบัญชีในวันที่ลงในเช็คแล้วจำเลยออกเช็คสั่งให้โจทก์จ่ายเงินให้ตามจำนวนดังกล่าวจากบัญชีเดินสะพัดของจำเลย และโจทก์ยอมจ่ายเงินไปก่อนโดยที่เช็คที่จำเลยนำมาเข้าบัญชียังเรียกเก็บเงินไม่ได้และโจทก์ได้ค่าธรรมเนียมเรียกว่าส่วนลดหมื่นละยี่สิบบาทเช่นนี้เป็นพฤติการณ์ที่โจทก์และจำเลยที่ 1 ปฏิบัติต่อกันตามสัญญาบัญชีเดินสะพัด เมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้จ่ายเงินตามเช็คของจำเลยจากบัญชีเดินสะพัดไปแล้ว ต่อมาโจทก์เรียกเก็บเงินตามเช็คพิพาทไม่ได้ โจทก์ย่อมมีสิทธิจะเพิกถอนการลงรายการของเช็คดังกล่าวเสียได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 857 และนำจำนวนเงินนั้นมาลงรายการว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้โจทก์ได้ จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดในจำนวนเงินดังกล่าวต่อโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องใจความว่า จำเลยมีบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเลขที่ 874 อยู่ที่สำนักงานสาขาปัตตานีของโจทก์ เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2517 จำเลยที่ 1 ทำหนังสือสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์วงเงิน 20,000 บาท โดยจำเลยที่ 2 ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันจำเลยได้นำเงินเข้าและถอนออกจากบัญชีของจำเลยเรื่อยมานับแต่วันทำสัญญาจนถึงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2519 โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีปรากฏว่าในวันดังกล่าวจำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่เป็นเงิน 21,781.29 บาท นอกจากนี้จำเลยได้นำเช็คของผู้มีชื่อรวม 3 ฉบับ เป็นเงิน 170,000 บาท มาขายลดให้โจทก์โดยนำเข้าบัญชีเลขที่ 874 ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ได้รับเงินตามเช็คนั้นจำนวน170,000 บาทไปแล้ว ต่อมาธนาคารตามเช็คปฏิเสธไม่ใช่เงินตามเช็ค โจทก์จึงแจ้งให้จำเลยที่ 1 นำเงินตามเช็คที่รับไปมาชำระให้โจทก์ แต่จำเลยที่ 1 เพิกเฉย จำเลยที่ 1 ต้องชดใช้เงินให้โจทก์รวม 191,781.29 บาท ซึ่งจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกัน 21,781.29 บาท ขอให้ศาลพิพากษาบังคับจำเลยที่ 1 ใช้ชำระเงิน 191,781.29 บาท ให้โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระให้จำเลยที่ 2 ชำระแทน
จำเลยทั้งสองให้การรับว่า เป็นหนี้โจทก์ในการเบิกเงินเกินบัญชี 21,781.29 บาท จริง และจำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่า เช็ค 3 ฉบับ จำนวนเงิน 170,000 บาทนั้น จำเลยที่ 1 มิได้ขายให้โจทก์ จำเลยที่ 1 มิใช่เจ้าของและมิใช่ผู้นำไปเข้าบัญชีของจำเลยที่ 1 และเมื่อธนาคารปฏิเสธไม่ใช้เงินตามเช็คแล้ว โจทก์ละเลยไม่แจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบจนเช็คขาดอายุความทางอาญาแล้ว และผู้ออกเช็คได้หลบหนีไปแล้ว จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 1 ต่อสู้ด้วยว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 191,781.29 บาท ให้โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปี สำหรับต้นเงิน 21,781.29 บาทและดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีสำหรับต้นเงิน 170,000 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ถ้าไม่ชำระให้จำเลยที่ 2 ชำระแทนเฉพาะเงิน 21,781.29 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์สำหรับเงิน 170,000 บาท ตามเช็ค 3 ฉบับพร้อมด้วยดอกเบี้ย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกค้าเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเลขที่ 874 ที่ธนาคารโจทก์ ได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีในวงเงิน 20,000 บาท มีกำหนด 12 เดือน ดอกเบี้ยทบต้นร้อยละสิบห้าต่อปี โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันนอกจากนี้จำเลยที่ 1 ยังได้นำเช็คซึ่งผู้อื่นเป็นผู้ออกมาขายลดให้ธนาคารโจทก์สาขาปัตตานี หลายฉบับ โดยโจทก์ได้ส่วนลดหมื่นละยี่สิบบาท จำเลยที่ 1 จ่ายส่วนลดให้โจทก์เป็นเงินสดทุกครั้ง ทั้งนี้โดยจำเลยที่ 1 เอาเช็คดังกล่าวเข้าบัญชีของจำเลยเพื่อเรียกเก็บเงิน แล้วจำเลยที่ 1 ออกเช็คของตนเองสั่งธนาคารโจทก์จ่ายเงินในบัญชีเลขที่ 874 เท่ากับจำนวนเงินในเช็คที่นำมาเข้าบัญชี ธนาคารโจทก์จะสั่งจ่ายเงินให้จำเลยที่ 1 ทันทีไม่ต้องรอเรียกเก็บเงินตามเช็ค ครั้งก่อน ๆ ธนาคารโจทก์เรียกเก็บเงินตามเช็คได้ทุกครั้ง สำหรับเช็คพิพาทคดีนี้จำเลยที่ 1 ได้นำเช็คดังกล่าวมาขายลด และนำเข้าบัญชีของจำเลยที่ 1 ในวันตามที่ระบุในเช็ค แล้วจำเลยที่ 1 ออกเช็คสั่งจ่ายเงินไปจากบัญชีเลขที่ 874 เท่าจำนวนเงินตามเช็คทั้งสามฉบับ โจทก์ได้จ่ายเงินจำนวน 170,000 บาท ให้จำเลยที่ 1 ไปแล้ว ต่อมาโจทก์ส่งเช็คพิพาททั้งสามฉบับไปเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้ข้อตกลงซื้อขายลดเช็คระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1จะไม่ปรากฏมีข้อสัญญาว่าหากเช็คทั้ง 3 ฉบับเรียกเก็บเงินไม่ได้แล้ว จำเลยที่ 1จะต้องรับผิดชดใช้เงินแก่โจทก์ก็ตาม แต่การที่จำเลยนำเช็คผู้มีชื่อมาเข้าบัญชีเดินสะพัดของจำเลยเพื่อให้โจทก์เรียกเก็บเงิน โดยนำเช็คเข้าบัญชีในวันที่ลงในเช็ค แล้วจำเลยออกเช็คสั่งให้โจทก์จ่ายเงินให้ตามจำนวนดังกล่าวจากบัญชีเดินสะพัดของจำเลยและโจทก์ยอมจ่ายเงินไปก่อนโดยที่เช็คที่จำเลยนำมาเข้าบัญชียังเรียกเก็บเงินไม่ได้และโจทก์ได้ค่าธรรมเนียมเรียกว่าส่วนลดหมื่นละ 20 บาท เช่นนี้เป็นพฤติการณ์ที่โจทก์และจำเลยที่ 1 ปฏิบัติต่อกันตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 857 บัญญัติไว้ว่า “การนำตั๋วเงินลงเป็นรายการในบัญชีเดินสะพัดนั้น ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าได้ลงด้วยเงื่อนไขว่าจะมีผู้ชำระเงินตามตั๋วนั้นถ้าและตั๋วนั้นมิได้ชำระเงินไซร้ จะเพิกถอนรายการอันนั้นเสียก็ได้” เมื่อได้ความว่าจำเลยที่ 1 ได้นำเช็คพิพาท 3 ฉบับนี้มาเข้าบัญชีเดินสะพัดของตนแล้วจำเลยที่ 1 ออกเช็คสั่งจ่ายเงินเท่าจำนวนเงินในเช็คที่นำมาเข้าบัญชี และโจทก์ได้จ่ายเงินตามเช็คของจำเลยจากบัญชีเดินสะพัดไปแล้ว ต่อมาโจทก์เรียกเก็บเงินตามเช็คพิพาทไม่ได้ โจทก์ย่อมมีสิทธิจะเพิกถอนการลงรายการของเช็คดังกล่าวเสียได้ตามบทกฎหมายข้างต้น และนำจำนวนเงินนั้นมาลงรายการว่าจำเลยที่ 1เป็นลูกหนี้โจทก์ได้ จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์ในเงินจำนวน 170,000 บาท
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น