คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1122-1123/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความที่จำเลยเสียไปในการดำเนินคดีร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ซึ่งโจทก์จำเลยเป็นผู้ร้องขอร่วมกันและโจทก์ตกลงจะชดใช้ให้จำเลยครั้งหนึ่ง. โดยระบุไว้ในสัญญาแบ่งมรดก. แต่ภายหลังกลับถอนคำร้องเสีย เนื่องจากตกลงกันในการจัดการมรดกไม่ได้นั้น. เมื่อโจทก์มาฟ้องคดีขอรับมรดกแต่ผู้เดียว และขอให้ศาลพิพากษาว่าสัญญาแบ่งมรดกเป็นโมฆะ. จำเลยย่อมฟ้องแย้งเรียกค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความตามที่ตกลงไว้ในสัญญาแบ่งมรดกจากโจทก์ได้. เพราะเป็นฟ้องแย้งที่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม.

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน โดยโจทก์จำเลยพิพาทกันเกี่ยวกับมรดกของร้อยตำรวจเอกขุนไกรสรสิทธิ์ผู้ตายทั้งสามศาลฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่านางสอางค์เป็นภริยาเจ้ามรดกนางปิ่นมณีและนางหวานเป็นบุตรของเจ้ามรดกซึ่งเกิดจากภริยาเก่าต่างมีสิทธิรับมรดกและพิพากษาแบ่งทรัพย์มรดกให้คนละ 1 ส่วนเท่า ๆกันตามกฎหมาย มีปัญหาที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแตกต่างกันและขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเกี่ยวกับฟ้องแย้งในคดีหลังที่นางสอางค์เป็นโจทก์ฟ้องนางหวานกับนางปิ่นมณีเป็นจำเลย โดยนางสอางค์โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยาขุนไกรสรสิทธิ์ มีสิทธิรับมรดกแต่ผู้เดียว จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลภายนอก ไม่มีสิทธิรับมรดก ภายหลังปลงศพขุนไกรสรสิทธิ์ โดยนางหวานจำเลยได้ช่วยเหลือจัดการด้วย นางหวานจำเลยได้ใช้อุบายหลอกลวงโจทก์ให้ทำสัญญาแบ่งมรดกกับจำเลยตามสำเนาท้ายฟ้องความว่าโจทก์ยอมรับชดใช้ค่าใช้จ่ายในการทำศพ โจทก์ยอมรับว่านางหวานจำเลยเป็นบุตรขุนไกรสรสิทธิ์ และยินยอมแบ่งมรดกให้นางหวานจำเลยครึ่งหนึ่งต่อมานางหวานจำเลยได้หลอกลวงว่าจะช่วยให้โจทก์ได้ปกครองดูแลรับทรัพย์มรดกแต่ผู้เดียว จำเลยจะช่วยเหลือให้โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อได้เงินกองมรดกมาชดใช้ค่าทำศพให้จำเลย โจทก์จึงยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก แล้วจำเลยทั้งสองก็ยื่นขอร่วมเป็นผู้จัดการมรดกด้วย โจทก์ทราบความจริงว่าจำเลยทั้งสองไม่ใช่บุตร จึงขอถอนจากการเป็นผู้จัดการมรดกเสีย ขอให้ศาลพิพากษาว่าหนังสือสัญญาระหว่างโจทก์กับนางหวานจำเลยเป็นโมฆะ และมรดกขุนไกรสรสิทธิ์ตกเป็นของโจทก์แต่ผู้เดียว ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง นางหวานจำเลยต่อสู้ว่า จำเลยเป็นบุตรขุนไกรสรสิทธิ์แต่ผู้เดียวสัญญาแบ่งมรดกที่โจทก์ฟ้อง ได้ทำขึ้นโดยสมัครใจ โจทก์จำเลยต้องแบ่งมรดกกันคนละครึ่ง จึงฟ้องแย้งขอแบ่งมรดกครึ่งหนึ่ง ขอให้หักเงินที่ได้จากการเป็นสมาชิกฌาปนกิจ เป็นค่าทำศพแก่จำเลย และในการร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกันระหว่างโจทก์จำเลยตามคดีแพ่งดำที่ 33/2505โจทก์กับจำเลยได้ตกลงกันว่า ต้องออกค่าใช้จ่ายคนละครึ่ง ดังที่ระบุไว้ในสัญญาแบ่งมรดก (ตามสำเนาท้ายฟ้อง) จำเลยได้จ่ายค่าทนายความค่าธรรมเนียมศาล และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ รวม 3,400 บาท ขอให้บังคับโจทก์ชำระให้จำเลยครึ่งหนึ่งเป็นเงิน 1,700 บาท นางปิ่นมณีจำเลยต่อสู้หลายประการซึ่งไม่เป็นปัญหา นางสอางค์โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งข้อหนึ่งว่า เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม มีปัญหาว่า ที่นางหวานจำเลยฟ้องแย้งให้นางสอางค์โจทก์ชำระเงิน1,700 บาท (ครึ่งหนึ่งของค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกัน) ตามสัญญาแบ่งมรดกเป็นฟ้องแย้งที่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสามหรือไม่ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า เป็นฟ้องแย้งที่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม และฟังว่านางหวานจำเลยได้ใช้จ่ายในการดำเนินคดีร้องขอจัดการมรดกไปรวม2,530 บาท ให้นางสอางค์โจทก์รับผิดชดใช้ครึ่งหนึ่งเป็นเงิน 1,265บาท ศาลอุทธรณ์เห็นว่า นางหวานจำเลยไม่มีสิทธิฟ้องแย้ง เพราะเป็นค่าฤชาธรรมเนียมค่าทนายในคดีแพ่งดำที่ 33/2505 ซึ่งเป็นเรื่องร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก ไม่ใช่เรื่องขอแบ่งมรดกของเจ้ามรดกในคดีนี้ต้องฟ้องคดีใหม่ พิพากษาแก้ ศาลฎีกาเห็นว่า เงินจำนวนนี้เป็นเงินค่าธรรมเนียม ค่าทนาย ที่นางหวานว่าได้ออกแทนนางสอางค์ไปในคดีที่นางสอางค์และนางหวานร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของขุนไกรสรสิทธิ์ ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่33/2505 และนางสอางค์ได้ตกลงไว้ตามสัญญาแบ่งมรดกว่าจะใช้เงินจำนวนนี้แก่นางหวาน เมื่อนางสอางค์ฟ้องนางหวานกับพวกเป็นคดีขึ้นมาตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 9/2506 ขอให้พิพากษาว่า สัญญาแบ่งมรดกเป็นโมฆะนางหวานได้ต่อสู้คดีและฟ้องแย้งขอให้นางสอางค์ใช้เงินนั้นแก่นางหวานตามที่ระบุไว้ในสัญญาแบ่งมรดกฟ้องแย้งของนางหวานจึงเป็นการเรียกร้องสิทธิตามสัญญาแบ่งมรดก ซึ่งเกี่ยวกับฟ้องเดิมนางหวานจึงชอบที่จะฟ้องแย้งได้ ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า นางหวานได้ออกเงินแทนนางสอางค์ไป1,264 บาท พิพากษาแก้ให้นางสอางค์ใช้เงิน 1,265 บาทแก่นางหวานจำเลยตามฟ้องแย้ง.

Share