คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 747/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ขายฝากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินไว้กับจำเลย ฟ้องโจทก์รับอยู่ในตัวว่าโจทก์มิได้ไถ่ทรัพย์พิพาทภายในกำหนด แต่อ้างว่าจำเลยยอมให้โจทก์ผ่อนชำระราคาตามสัญญาขายฝากจนครบ และเมื่อครบแล้วจำเลยจะคืนทรัพย์พิพาทที่ขายฝากให้ การตกลงดังนี้เป็นการขยายกำหนดเวลาไถ่ จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา496
เมื่อโจทก์ไม่สามารถไถ่ที่ดินคืนภายในกำหนดเวลาจำเลยก็จำต้องคืนเงินค่าผ่อนชำระที่ดินให้แก่โจทก์
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 7/2511)

ย่อยาว

คดี ๒ สำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน
สำนวนแรก นายคุณอิทธิและนางมีหรือมีงอ เป็นโจทก์ฟ้องนายหวลว่าโจทก์ทั้งสองเป็นสามีภรรยากัน เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๐๑ โจทก์ที่ ๑ได้นำโฉนดที่ ๑๐๒๒ พร้อมด้วยตึก ๒ ชั้น ๕ ห้อง หนึ่งหลัง ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินนี้ไปขายฝากไว้กับจำเลยมีกำหนดเวลาไถ่คืนภายใน ๑๘ เดือนเป็นเงิน ๑๓๐,๐๐๐ บาท คิดดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน ๕๘,๕๐๐ บาทเอาทบกับเงินต้นในสัญญาขายฝาก จึงระบุเป็นเงิน ๑๘๘,๕๐๐ บาท ซึ่งโจทก์ต้องไถ่ถอนตามจำนวนนี้ ครั้นเดือนสิงหาคม ๒๕๐๒ ซึ่งเป็นเวลาก่อนสิ้นกำหนดเวลาไถ่ โจทก์นำเงินไปขอไถ่ทรัพย์โดยวิธีผ่อนชำระ จำเลยตกลงว่าเมื่อชำระครบแล้วจะโอนที่ขายฝากคืนให้โจทก์ โจทก์ได้ชำระเงินให้จำเลย ๖๐,๐๐๐ บาท, ๘๐,๐๐๐ บาท, ๓๐,๐๐๐ บาท และ ๑,๕๐๐ บาท รวมเป็นเงินชำระแล้ว ๑๗๑,๕๐๐ บาท ต่อมาเดือนกันยายน ๒๕๐๕ ได้นำไปชำระอีก๑๗,๐๐๐ บาท จำเลยไม่ยอมรับ เดือนพฤศจิกายน ๒๕๐๕ จำเลยกลับมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ออกไปจากที่ดินที่ขายฝาก ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยรับเงิน ๑๗,๐๐๐ บาท ให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ ๑๐๒๒พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์ หากไม่สามารถโอนได้ ก็ให้จำเลยใช้เงิน ๑๗๑,๕๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า โจทก์ขายฝากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไว้กับจำเลยจริง จำเลยให้โจทก์อาศัยอยู่ในทรัพย์ที่ขายฝากโดยมิต้องเสียค่าเช่าให้โจทก์เก็บผลประโยชน์จากทรัพย์สินที่ขายฝากแทนจำเลยส่งมอบให้จำเลยเป็นคราว จำเลยไม่ได้รับเงิน ๖๐,๐๐๐ บาท และ ๘๐,๐๐๐ บาทไว้จากโจทก์เงินที่ขายที่ดิน ๓๐,๐๐๐ บาท จำเลยก็เป็นผู้แบ่งขายเอง ส่วนเงิน๑,๕๐๐ บาทที่บุตรชายจำเลยรับไว้ เป็นเงินผลประโยชน์ที่เก็บได้จากทรัพย์สินที่ซื้อฝาก โจทก์ไม่เคยนำเงินไปชำระเพื่อไถ่ถอน
สำนวนหลัง นายหวลเป็นโจทก์ฟ้องนายสุรชัยหรือคุณอิทธิว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ ๑๐๒๒ ได้อนุญาตให้จำเลยอาศัยตึกแถวเลขที่ ๖๓๑/๑๓ ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินแปลงนี้ โดยให้จำเลยเรียกเก็บผลประโยชน์ส่งโจทก์เป็นคราว ๆ เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๐๕โจทก์มีหนังสือบอกเลิกไม่ให้จำเลยอยู่ต่อไป ขอให้ศาลพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวาร และค่าเสียหายเดือนละ ๕๐๐ บาท
นายสุรชัยหรือคุณอิทธิจำเลยให้การว่า โจทก์ยอมให้จำเลยครอบครองทรัพย์สินที่ขายฝากคือ ห้องเลขที่ ๖๓๑/๑๓ โดยจำเลยขายฝากที่ดินโฉนดที่ ๑๐๒๒ พร้อมด้วยตึกแถวไว้กับโจทก์ จำเลยได้นำเงินไปไถ่ถอนคืนดังกล่าวในฟ้องสำนวนแรกเมื่อจำเลยใช้สิทธิไถ่ถอนและผ่อนชำระเงินให้โจทก์รับไปบางส่วนแล้ว ทรัพย์สินย่อมตกมาเป็นของจำเลย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์ไม่เคยพูดขอไถ่ และไม่เคยชำระค่าไถ่ที่พิพาท เงินที่จำเลยรับเป็นเงินส่วนได้ของจำเลยเอง ให้ยกฟ้องโจทก์ในคดีแพ่งเลขดำที่ ๑/๒๕๐๖ พิพากษาขับไล่โจทก์ที่ ๑ ซึ่งเป็นจำเลยในคดีแพ่งดำที่ ๑๖/๒๕๐๖ และบริวารออกจากห้องเลขที่ ๖๓๑/๑๓ กับให้ใช้ค่าเสียหายเดือนละ ๑๒๐ บาท
โจทก์ในสำนวนแรกอุทธรณ์ทั้งในคดีที่เป็นโจทก์และคดีที่เป็นจำเลยในสำนวนหลัง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
นายคุณอิทธิและนางมีงอฎีกาทั้ง ๒ สำนวน
ศาลฎีกาเห็นว่า การขายฝากรายนี้มีกำหนดไถ่ภายใน ๑๘ เดือนนับแต่วันขายฝาก คือ วันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๐๑ ตามฟ้องของโจทก์ก็รับอยู่ในตัวแล้วว่าโจทก์มิได้ไถ่ทรัพย์พิพาทภายในกำหนด เป็นแต่ตกลงกันว่าโจทก์จะขอไถ่โดยผ่อนชำระราคาตามสัญญาขายฝากจนครบ เมื่อครบแล้วจำเลยจะโอนที่ขายฝากคืนให้โจทก์ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่าการตกลงดังกล่าวนี้เป็นการขยายกำหนดเวลาไถ่ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๙๖ แต่ตามฟ้องโจทก์อ้างว่าจำเลยได้รับเงินผ่อนชำระตามข้อตกลงดังกล่าวแล้วจากโจทก์ และขอให้ศาลบังคับให้จำเลยคืนเงินดังกล่าวแก่โจทก์ หากจำเลยไม่สามารถจะโอนที่ดินนี้คืนโจทก์ได้ศาลฎีกาจึงต้องพิจารณาข้อเท็จจริงนี้ต่อไป
ศาลฎีกาเห็นว่าที่ศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์ไม่เชื่อว่าโจทก์ได้ผ่อนชำระเงินจำนวน ๖๐,๐๐๐ บาท และ ๑,๕๐๐ บาท ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยส่วนเงิน ๓๐,๐๐๐ บาทนั้น ก็รับกันอยู่แล้วว่าเป็นเงินค่าขายที่ดินที่ขายฝากบางส่วนซึ่งคิดเป็นเงินรับได้ด้วย เพราะแทนเนื้อที่ที่ขาดไป
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้รับเงินผ่อนชำระค่าที่ดินจากโจทก์ไว้ ๒ ครั้ง คือ เงิน ๘๐,๐๐๐ บาท ที่ขายที่ดินแปลงอื่นชำระให้ครั้งหนึ่ง กับแบ่งขายที่ดินที่ขายฝากโดยจำเลยอนุญาตเป็นเงิน ๓๐,๐๐๐บาทอีกครั้งหนึ่ง เมื่อโจทก์ไม่สามารถจะไถ่ที่ดินที่ขายฝากคืนได้ตามที่ได้ตกลงกันไว้ดังได้วินิจฉัยมาแล้วข้างต้น ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า จำเลยจึงไม่มีเหตุที่จะอ้างเอาเงิน ๘๐,๐๐๐ บาทของโจทก์นั้นไว้ได้ต่อไป เพราะการไถ่การขายฝากจะเป็นผลขึ้นไม่ได้ตามที่โจทก์มุ่งประสงค์ไว้ในการชำระเงิน ๘๐,๐๐๐ บาทให้จำเลยไปนั้นจำเลยจึงต้องคืนเงิน ๘๐,๐๐๐ บาทนี้ให้โจทก์ ส่วนเงิน ๓๐,๐๐๐ บาทนั้นเป็นเงินที่แบ่งขายที่ดินที่ขายฝากซึ่งโจทก์ไถ่คืนไม่ได้แล้ว จำเลยจึงไม่ต้องคืนให้โจทก์
ส่วนคดีที่จำเลยฟ้องขับไล่ เมื่อโจทก์เอาที่ดินคืนไม่ได้ โจทก์ก็ต้องออกไปจากที่ดินของจำเลย และต้องใช้ค่าเสียหายในการที่ไม่ออกจากห้องของจำเลย เพราะทำให้จำเลยขาดประโยชน์ในการใช้ห้องในระหว่างที่โจทก์ขืนอยู่
พิพากษาแก้ ให้จำเลยคืนเงิน ๘๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะใช้เงินเสร็จให้แก่โจทก์ในสำนวนแรก สำนวนหลังคงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share