คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 372/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ออกเช็คระบุให้จ่ายเงินแก่จำเลยที่ 2 หรือผู้ถือ การโอนเช็คไปย่อมสมบูรณ์เพียงด้วยส่งมอบให้กัน เมื่อจำเลยที่ 2 ส่งมอบเช็คพิพาทให้แก่โจทก์ โจทก์ย่อมเป็นผู้ทรง
จำเลยที่ 1 ออกเช็คสั่งจ่ายล่วงหน้าให้แก่จำเลยที่ 2 ต่อมาปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้ยักยอกเงินของบริษัทซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการ จำเลยที่ 1 จึงแจ้งความดำเนินคดีอาญาและแจ้งให้ธนาคารระงับการจ่ายเงินตามเช็ค จำเลยที่ 2 เอาเช็คพิพาทไปขึ้นเงิน ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยที่ 2 ได้ส่งมอบเช็คพิพาทให้แก่โจทก์ โจทก์จึงได้เอาเช็คนั้นมาฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดใช้เงินตามเช็ค เมื่อการโอนเช็คพิพาทระหว่างจำเลยที่ 2 และโจทก์ได้มีขึ้นด้วยการคบคิดกันเพื่อฉ้อฉลจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ผู้สั่งจ่ายย่อมต่อสู้โจทก์ผู้ทรงด้วยข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันกันระหว่างตนกับจำเลยที่ 2 ผู้ทรงคนก่อนนั้นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 916 และ 989 วรรค 1

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๒ ได้สลักหลังเช็คธนาคารไทยพัฒนาจำกัด สาขาปากน้ำโพ ๓ ฉบับ ซึ่งจำเลยที่ ๑ เป็นผู้สั่งจ่ายเงินล่วงหน้าให้แก่จำเลยที่ ๒ โจทก์นำเช็คดังกล่าวไปขอรับเงินต่อธนาคาร ปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ ได้สั่งระงับการจ่ายเงิน จึงขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดใช้เงินตามเช็ค
จำเลยที่ ๑ ต่อสู้ว่า โจทก์กับจำเลยที่ ๒ สมคบกัน โดยจำเลยที่ ๒ แกล้งเป็นลูกหนี้โจทก์ โจทก์ไม่ได้เป็นผู้ทรงเช็คหรือรับโอนเช็คดังกล่าว จำเลยที่ ๒ เซ็นชื่อหลังเช็คในฐานะผู้ขอเบิกเงินจากธนาคาร ไม่ใช่ในฐานะผู้สลักหลังโอนเช็คให้โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ ได้สั่งจ่ายเช็คให้แก่จำเลยที่ ๒ หรือผู้ถือจำเลยที่ ๒ ได้สลักหลังชำระหนี้ให้โจทก์ ข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ ๑ นำสืบไม่ปรากฏว่าการโอนเช็คระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ ได้มีขึ้นด้วยสมคบกับฉ้อฉลจำเลยที่ ๑ โจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คทั้ง ๓ ฉบับนี้โดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้นำเช็คทั้ง ๓ ฉบับไปขึ้นเงินต่อธนาคาร โจทก์หาได้นำเช็คดังกล่าวไปขึ้นเงินไม่ เมื่อโจทก์มิได้นำเช็คไปขึ้นเงินจากธนาคาร ก็เท่ากับโจทก์ยังไม่ได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๙๑๔ คือ โจทก์มิได้ทวงถามหนี้รายนี้จากธนาคาร ธนาคารก็ดี จำเลยที่ ๑ ก็ดี ยังมิได้ผิดสัญญาต่อโจทก์ หนี้ที่โจทก์ฟ้องเป็นหนี้ร่วม เมื่อจำเลยที่ ๑ ไม่ต้องรับผิด จำเลยที่ ๒ ก็ไม่ต้องรับผิดด้วย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบ โจทก์ไม่เคยไปเบิกเงินจากธนาคาร โจทก์จะมากล่าวหาว่าจำเลยที่ ๑ ทำผิดย่อมฟังไม่ขึ้น และหนี้ที่โจทก์ฟ้องเป็นหนี้ร่วม เมื่อจำเลยที่ ๑ ผู้สั่งจ่ายไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยที่ ๒ ผู้โอนเช็คให้โจทก์ย่อมไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยที่ ๑ รับผิดตามฟ้อง
ศาลฎีกาเห็นว่า เช็ครายพิพาททั้ง ๓ ฉบับ ระบุให้จ่ายเงินแก่จำเลยที่ ๒ หรือผู้ถือการโอนไปย่อมสมบูรณ์เพียงด้วยส่งมอบให้กัน เมื่อจำเลยที่ ๒ ส่งมอบเช็คพิพาทให้โจทก์ โจทก์ย่อมเป็นผู้ทรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๙๑๘ และ ๙๘๙ คดีนี้ คู่ความรับกันแล้วว่าเช็ครายพิพาทถึงกำหนด และธนาคารไม่ยอมจ่ายเงินตามเช็ค ผู้ทรงย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่บรรดาผู้สั่งจ่ายได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๙๕๙ จำเลยที่ ๑ ผู้สั่งจ่ายเช็คหาอาจจะต่อสู้โจทก์ผู้ทรงด้วยข้อต่อสู้อันอาศัยเกี่ยวพันกันเฉพาะบุคคลระหว่างตนกับจำเลยที่ ๒ ผู้ทรงคนก่อน ๆ นั้นได้ไม่ เว้นแต่การโอนจะได้มีขึ้นด้วยคบคิดกันฉ้อฉล
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ ได้สั่งจ่ายเช็คล่วงหน้าให้แก่จำเลยที่ ๒ ต่อมาปรากฏว่าจำเลยที่ ๒ ได้ยักยอกเงินของบริษัทซึ่งจำเลยที่ ๑ เป็นผู้จัดการจำเลยที่ ๑ จึงแจ้งความให้ดำเนินคดีอาญา และแจ้งธนาคารให้ระงับการจ่ายเงินตามเช็ค จำเลยที่ ๒ เอาเช็คพิพาทไปขึ้นเงิน ธนาคารปฏิเสธการจ่าย จำเลยที่ ๒ จึงให้เช็คแก่โจทก์ โจทก์ได้เอาเช็คนั้นมาฟ้องให้จำเลยที่ ๑ รับผิดจ่ายเงินตามเช็ค เมื่อการโอนเช็คพิพาทระหว่างจำเลยที่ ๒ และโจทก์ได้มีขึ้นด้วยคบคิดกันเพื่อฉ้อฉลจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ผู้สั่งจ่ายย่อมต่อสู้ผู้ทรงด้วยข้อต่อสู้อันอาศัยเกี่ยวพันระหว่างตนกับจำเลยที่ ๒ ผู้ทรงคนก่อนนั้นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๙๑๖ และ ๙๘๙ วรรค ๑ ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share