คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 702/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์กับพวกร่วมกันยึดถือที่ดินเป็นเจ้าของ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของร่วมคนหนึ่งย่อมฟ้องผู้ที่เข้ามารบกวนหรือแย่งที่ดินที่โจทก์กับพวกถือสิทธิเป็นเจ้าของนั้นได้

ย่อยาว

คดีได้ความตามทางพิจารณาของศาลชั้นต้นว่า เดิมที่ดินบริเวณที่พิพาทเป็นป่าสงวน โจทก์กับพวกเข้าแผ้วถาง ต่อมาพนักงานป่าไม้ห้ามไม่ให้แข้าแผ้วถาง โจทก์กับพวกยื่นคำร้องไปยังนายกรัฐมนตรี ในที่สุดทางราชการสั่งให้โจทก์กับพวกจับจองที่รายนี้ได้ จำเลยที่ ๑ ได้บุกรุกเข้าไปแผ้วถาง ที่ดินที่โจทก์ขอจับจองและปลูกต้นผลอาสินไว้ โจทก์ยื่นคำร้องต่ออำเภอ ๆ เรียกจำเลยที่ ๑ ไปและทำหนังสือสัญญาประนีประนอม ยอมความกันต่อคณะกรรมการอำเภอว่า ที่พิพาทหมาย ก. ตกได้แก่โจทก์ ที่หมาย ค. ตกได้แก่จำเลยที่ ๑ และให้โจทก์ใช้เงิน ๑,๒๐๐ บาท แก่จำเลยที่ ๑ ๆ ไม่ปฏิบัติตามสัญญายอม ส่วนที่พิพาทหมาย ข. มีชนำของจำเลยที่ ๓ ปลูกอยู่นานแล้ว ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์จะอาศัยสัญญาที่ทำกับจำเลยที่ ๑ มาบังคับจำเลยที่ ๓ ไม่ได้ และตามสำนวนไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๒ ได้เกี่ยวข้องกับโจทก์อย่างไรศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินหมาย ก. ในแผนที่วิวาทเป็นของโจทก์ ให้โจทก์จ่ายเงิน ๑,๒๐๐ บาท ให้จำเลยที่ ๑ รับไปฟ้องโจทก์นอกนั้นให้ยก
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา ทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาพิจารณาแล้วในข้อกฎหมาย ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์กับพวกร่วมกันยึดถือที่ดินเป็นเจ้าของ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของร่วมคนหนึ่งย่อมฟ้องผู้ที่เข้ามารบกวนหรือแย่งที่ดินที่โจทก์กับพวกถือสิทธิเป็นเจ้าของนั้นได้

Share