แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ศาลอุทธรณ์ส่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไปให้ศาลชั้นต้นอ่านให้คู่ความฟังโดยสั่งว่าก่อนศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังให้ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลเพิ่มให้ถูกต้องหากโจทก์ไม่ยอมชำระให้ส่งคำพิพากษาและสำนวนคืนเพื่อดำเนินการต่อไปปรากฎว่าศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยไม่ได้มีคำสั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มเมื่อคดีขึ้นมาสู่ศาลฎีกาและปรากฎเหตุที่มิได้ปฎิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่ศาลชั้นต้นต้องปฎิบัติตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ก่อนอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่งเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาไม่ชอบศาลฎีกาจึงให้เพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นปฎิบัติตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ให้ครบถ้วนถูกต้องโดยให้คืนฎีกาแก่โจทก์ก่อน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 1651กับบ้านเลขที่ 232 ซึ่งปลูกบนที่ดินมีรั้วสังกะสีกั้นรอบบริเวณที่ดินดังกล่าว เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2531 ขณะที่โจทก์ทำการรื้อรั้วสังกะสีด้านทิศใต้ยาวประมาณ 38 เมตร เพื่อสร้างขึ้นใหม่ จำเลยกับบุตรจำเลยได้ขัดขวางอ้างว่ารั้วนั้นเป็นของจำเลย และไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางกอกใหญ่ว่าโจทก์กระทำความผิดข้อหาลักทรัพย์ในเวลากลางคืนทำให้เสียทรัพย์ทำให้เสียเสรีภาพและบุกรุก เป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถสร้างรั้วขึ้นใหม่ และต้องเสียเวลาในการประกอบอาชีพตามปกติและขาดรายได้เดือนละไม่น้อยกว่า 5,000 บาท เป็นเวลา11 เดือน เป็นเงิน 55,000 บาท ขอให้พิพากษาว่า รั้วสังกะสีด้านทิศใต้ที่ติดที่ดินของจำเลยยาวประมาณ 38 เมตร เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องและรื้อรั้วของโจทก์ให้จำเลยชำระค่าขาดประโยชน์ 55,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าได้ชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์รั้วสังกะสีตามฟ้อง จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 1659ซึ่งเป็นที่ตั้งบ้านของจำเลยเลขที่ 228/1 ที่ดินของจำเลยทางด้านทิศเหนือติดที่ดินของทางราชการซึ่งได้เวนคืนเป็นถนนอรุณอัมรินทร์ และติดที่ดินเลขที่ 7402 โดยมีหลักเขตเลขที่ 1521, 1657 และ 2463 ปักไว้เป็นแนว และมีรั้วเก่าอยู่ตามแนวหลักเขตที่ดิน เมื่อปี 2522 ทางราชการได้เวนคืนที่ดินละแวกนั้นเป็นถนนอรุณอัมรินทร์โจทก์จึงย้ายครอบครัวจากบ้านเลขที่ 232 ไปอยู่ที่บ้านเลขที่ 164/65 แล้วกั้นห้องในบ้านเลขที่ 232 ให้คนเช่า บางครั้งมีคนเช่าบางครั้งไม่มีคนเช่าต้องปล่อยทิ้งร้างไว้ รั้วกั้นแนวเขตไม่มีคนดูแลจึงผุพัง ทั้งโจทก์ได้สร้างห้องน้ำให้คนเช่าใช้ซึ่งติดห้องรับแขกของจำเลย เพื่อตัดความรำคาญและรักษาความปลอดภัยในบ้านของจำเลย จำเลยได้สร้างรั้วใหม่ซ้อนรั้วเดิมยาว 16 เมตรเศษห่างจากหลักเขตที่ดิน 3 หลักดังกล่าวแล้วและห่างจากรั้วเดิมประมาณ 10 นิ้ว โดยทำรั้วใหม่ให้สูงมากเพื่อบังมิให้มองเห็นได้จากห้องน้ำของโจทก์รั้วจึงเป็นของจำเลย ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2531 โจทก์จะสร้างห้องส้วมให้ติดรั้วบ้านของจำเลยอีกเพื่อให้คนเช่าบ้านใช้ แต่เจ้าหน้าที่ของเขตบางกอกใหญ่ตรวจพบเสียก่อนจึงให้ระงับการก่อสร้าง โจทก์ไม่พอใจถึงแกล้งรื้อรั้วบ้านของจำเลย เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2531 จำเลยได้เข้าห้ามและชี้ให้คนงานของโจทก์ยึดหลักตัวบ้านและแนวเขตคนงานของโจทก์จึงไม่รื้อรั้วของจำเลยต่อไป ขอให้ยกฟ้องและขอให้ยกฟ้องและขอให้พิพากษาว่า รั้วสังกะสีตลอดแนวด้านทิศเหนือ16 เมตรเศษ เป็นของจำเลย ห้ามโจทก์หรือบริวารเข้าเกี่ยวข้องหรือดำเนินการใด ๆ กับรั้วดังกล่าว ให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยเป็นเงิน 12,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับตั้งแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะได้ชำระเสร็จ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า รั้วพิพาทเป็นของโจทก์โดยรับมาจากผู้สร้างเดิม รั้วส่วนที่อยู่บนที่ดินที่ถูกเวนคืนก็ยังเป็นของโจทก์และเป็นสิทธิของโจทก์ที่จะทำประโยชน์โดยสมบูรณ์โจทก์ไม่ต้องรับผิดต่อจำเลยตามฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า รั้วพิพาทเป็นของจำเลยห้ามโจทก์และบริวารเกี่ยวข้องหรือดำเนินการใด ๆ ต่อไป ให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 5,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าได้ชำระเสร็จแก่จำเลยยกฟ้องโจทก์
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาโดยผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์ได้รับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ปรากฎตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2538 ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายทุนทรัพย์ 55,000 บาทจำเลยให้การและฟ้องแย้งต่อสู้กรรมสิทธิ์ว่ารั้วพิพาทเป็นของจำเลย ศาลชั้นต้นตีราคารั้วพิพาทเป็นเงิน 20,000 บาท และให้คู่ความเสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น ปรากฎว่าโจทก์เสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ตามทุนทรัพย์ 55,000 บาทมิได้เสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ในส่วนทุนทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นดังนี้ ก่อนศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลในส่วนทุนทรัพย์ของรั้วพิพาทที่เพิ่มขึ้นให้ถูกต้องภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดหากโจทก์ไม่ยอมชำระให้ศาลชั้นต้นส่งคำพิพากษาและสำนวนคืนเพื่อดำเนินการต่อไป แต่ปรากฎว่าศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยไม่ได้มีคำสั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มเมื่อคดีปรากฎเหตุที่มิได้ปฎิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่ศาลชั้นต้นต้องปฎิบัติตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ก่อนอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ซึ่งเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาไม่ชอบ ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรให้ศาลชั้นต้นปฎิบัติตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ให้ครบถ้วนถูกต้อง โดยให้คืนฎีกาแก่โจทก์ก่อน”
จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาให้ถูกต้องตามนัยดังกล่าวข้างต้นส่วนฎีกาของโจทก์ให้คืนไปและให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความของศาลฎีกา