แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลลงโทษปรับจำเลย ๆ ชำระค่าปรับบางส่วนแล้ว จำเลยขอให้ศาลสั่งคืนค่าปรับโดยจำเลยขอถูกกักขังแทนค่าปรับ โดยจำเลยขอถูกกักขังแทนค่าปรับ เช่นนี้ ศาลจะสั่งคืนค่าปรับให้จำเลยหาได้ไม่ หากจำเลยเห็นว่า จำเลยได้ชำระค่าปรับไปบ้างแล้วและชอบที่จะถูกกักขังแทนค่าปรับน้อยกว่า กำหนดที่ศาลพิพากษาไว้ ก็เป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องเรียนในแง่นั้น หาใช่มาขอคืนปรับซึ่งชำระไว้โดยถูกต้องแล้วไม่
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดฐานนำสินค้าออกนอกราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนกฎหมายตามพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๔๘๐ มาตรา ๘, ๑๑ (ฉบับที่ ๑๒) พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๖ ให้ปรับจำเลยทั้งสามรวมกันเป็นเงิน ๓,๐๐๐ บาท บังคับค่าปรับตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๙, ๓๐ ถ้าจะต้องกักขังแทนค่าปรับ ให้กักขังแทนคนละ ๔ เดือน
จำเลยทั้งสามชำระค่าปรับครบถ้วนแล้ว
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษปรับ ๔ เท่า ของราคาของตามฟ้อง ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๒๗ ซึ่งแก้ไขอัตราโทษตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๔๙๐
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้ปรับจำเลยทั้งสามรวมกัน ๒๘,๐๐๐ บาท (คือ ๔ เท่าราคาของตามฟ้อง) ตามกฎหมายที่โจทก์อ้าง ลดโทษ ๑ ใน ๓ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงเหลือปรับจำเลยรวมกัน ๑๘,๖๖๖ บาท ๖๖ สตางค์ ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙ ถ้าต้องกักขังแทนค่าปรับ ให้กักขังคนละ ๘ เดือน คดีถึงที่สุด
ต่อมาจำเลยทั้งสามได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่า ชั้นแรกจำเลยทั้งสามได้เฉลี่ยแยกชำระค่าปรับรวม ๓,๐๐๐ บาทไว้ต่อศาลครบถ้วนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว เมื่อศาลอุทธรณ์ปรับจำเลยทั้งสามรวมกัน ๑๘,๖๖๖ บาท ๖๖ สตางค์ จึงยังคงเหลือค่าปรับที่จำเลยทั้งสามต้องชำระศาลอีก ๑๕,๖๖๖ บาท ๖๖ สตางค์ การปรับรวมกันเช่นนี้ไม่สดวก เพราะจำเลยบางคนก็มีเสีย บางคนก็ไม่เสีย ขอให้ศาลมีคำสั่งแยกเงินค่าปรับที่เหลืออีก ๑๕,๖๖๖ บาท ๖๖ สตางค์ ออกเป็น ๓ ส่วน เท่า ๆ กัน ให้จำเลยรับผิดชอบในส่วนค่าปรับของตน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เฉลี่ยค่าปรับคนละ ๕,๒๒๒ บาท ๒๒ สตางค์ จำเลยที่ ๑ จึงผ่อนชำระค่าปรับ ๑ ครั้ง เป็นเงิน ๓๐๐ บาท ต่อมาไม่มีเงินค่าปรับมาชำระอีก จึงได้แถลงต่อศาลขอให้กักขังจำเลยที่ ๑ แทนค่าปรับ มีกำหนด ๘ เดือน ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ต่อมาเกือบ ๑ เดือน จำเลยที่ ๑ ได้ยื่นคำร้องขอคืนเงินค่าปรับส่วนของจำเลยที่ ๑ ซึ่งได้ชำระต่อศาลชั้นต้นส่วนหนึ่งเป็นเงิน ๙๙๐ บาท (หักวันต้องขังให้ ๒ วัน) กับอีก ๓๐๐ บาท ที่ได้ชำระไว้ภายหลัง รวมเป็นเงิน ๑,๒๙๐ บาท โดยจำเลยที่ ๑ ไม่ประสงค์จะเอาเงินค่าปรับจำนวนนี้หักลบกับวันถูกขัง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้คืนเงินจำนวนนี้
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ว่า เมื่อจำเลยต้องถูกขังแล้ว ก็มีสิทธิที่จะได้รับค่าปรับที่ชำระไปแล้วนั้นคืน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่ศาลพิพากษาปรับ ก็ย่อมหมายความว่าจำเลยผู้ต้องคำพิพากษาจะต้องนำค่าปรับมาชำระ ส่วนวิธีการยึดทรัพย์ใช้ค่าปรับก็ดี การกักขังแทนค่าปรับก็ดี เป็นวิธีที่จะกระทำเพื่อเป็นการชดใช้ค่าปรับเท่านั้น เมื่อจำเลยได้นำค่าปรับมาชำระอันเป็นการที่ถูกต้องกับคำพิพากษาแล้ว จึงไม่มีเหตุผลที่จะคืนค่าปรับให้จำเลยหาได้ไม่ หากจำเลยเห็นว่า จำเลยได้ชำระค่าปรับไปบ้างแล้วและชอบที่จะถูกกักขังแทนค่าปรับน้อยกว่า กำหนดที่ศาลพิพากษาไว้ ก็เป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องเรียนในแง่นั้น หาใช่มาขอคืนปรับซึ่งชำระไว้โดยถูกต้องแล้วไม่ ศาลฎีกาพิพากษายืน