คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1121/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์นำเงินไปฝาก ณ ที่ทำการของบริษัทเงินทุนจำเลย พนักงานของจำเลยรับฝากเงินจากโจทก์และดำเนินการให้กรรมการผู้มีอำนาจออกเช็คสั่งจ่ายเงินตามจำนวนเงินที่รับจากโจทก์ และกำหนดวันสั่งจ่ายคืนตามเช็คเป็นเวลา 1 ปี แล้วนำเช็คบรรจุในซองพลาสติกมีตราของบริษัทจำเลยแล้วใส่ในซองจดหมายซึ่งมีชื่อบริษัทจำเลยนำมามอบให้แก่โจทก์ มีลักษณะเพื่อเป็นการใช้เงินคืนซึ่งจำเลยเคยปฏิบัติต่อโจทก์เช่นเดียวกันนี้มาก่อน อันเป็นการฝ่าฝืนประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้บริษัทเงินทุนปฏิบัติในการกู้ยืมเงินหรือรับเงินจากประชาชนฯ การที่โจทก์นำเงินไปมอบให้แก่จำเลยก็เพื่อประสงค์จะได้ดอกเบี้ยตามข้อตกลงที่จำเลยให้สัญญา แต่โจทก์มิได้ตกลงกับจำเลยโดยเฉพาะว่าการใช้เงินคืนจำเลยจะต้องทำการออกตั๋วสัญญาใช้เงินหรือออกเช็คให้แก่โจทก์หรือต้องทำในรูปสัญญากู้ยืมหรือประการอื่นใด เมื่อกรรมการผู้มีอำนาจออกเช็คสั่งจ่ายเงินตามจำนวนที่รับมอบจากโจทก์ จึงเป็นกรณีที่ตัวแทนจำเลยปฏิบัติต่อโจทก์ฝ่ายเดียว โจทก์มิได้ตกลงหรือรู้เห็นด้วยว่าเป็นการฝ่าฝืนประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย จึงมิใช่นิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์ขัดต่อกฎหมายพฤติการณ์ดังกล่าวฟังได้ว่าจำเลยเป็นคู่สัญญากับโจทก์ จำเลยจึงต้องรับผิดใช้เงินคืนแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดมีวัตถุประสงค์ในการรับฝากเงินจากประชาชน และให้กู้ยืมเงิน เมื่อวันที่ ๒๑ มกราคม ๑๑ กุมภาพันธ์ ๑๑ เมษายน และ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๖ โจทก์ได้ฝากเงินจำเลยไว้จำนวน ๔๐,๐๐๐ บาท ๑,๖๑๖,๘๒๐ บาท ๒๓,๑๘๐ บาท และ ๗๐,๐๐๐ บาท ตามลำดับ มีกำหนด ๑ ปี จำเลยตกลงให้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นายพัลลภ อัศวเนตรมณี กับนางสาวงามจิต แซ่เบ๊ กรรมการบริษัทจำเลยได้ร่วมกันสั่งจ่ายเช็คธนาคารมหานคร จำกัด รวม ๔ ฉบับ ลงวันที่สั่งจ่าย ๒๑ มกราคม ๑๑ กุมภาพันธ์ ๑๑ เมษายน และ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๗ จำนวนเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท ๑,๖๑๖,๘๒๐ บาท ๒๓,๑๘๐ บาท และ ๗๐,๐๐๐ ตามลำดับ ในนามของจำเลยเป็นการชำระเงินฝากคืนแก่โจทก์ โดยจำเลยรู้เห็นยินยอมให้บุคคลทั้งสองดังกล่าวกระทำการแทนเสมอด้วยตัวแทนหรือตัวแทนเชิดของจำเลยเมื่อเช็คแต่ละฉบับถึงกำหนด โจทก์ได้นำไปเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทั้ง ๔ ฉบับ จำเลยในฐานะผู้รับฝากเงินและเป็นผู้สั่งจ่ายเงินตามเช็คต้องรับผิดคืนเงินแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ย ขอให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์เป็นเงิน ๒,๐๕๖,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๑,๗๕๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่เคยรับฝากเงินตามฟ้องจากโจทก์ จำเลยไม่เคยออกเช็คตามฟ้องให้โจทก์ เช็คดังกล่าวเป็นเช็คของนายพัลลภ อัศวเนตรมณี และนางสาวงามจิต แซ่เบ๊ ออกให้โจทก์ในกิจการส่วนตัวจำเลยจะกู้ยืมหรือรับฝากเงินจากประชาชนได้ก็โดยออกเอกสารการกู้ยืมเงินหรือออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่ผู้ให้กู้เท่านั้น จำเลยไม่เคยมอบให้นายพัลลภ อัศวเนตรมณี และนางสาวงามจิต แซ่เบ๊ เป็นตัวแทนหรือตัวแทนเช็ครับฝากเงินจากประชาชนแล้วออกเช็คชำระเงินคืนแทนจำเลย ฟ้องของโจทก์จึงเคลือบคลุม โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากจำเลย หากจำเลยจะต้องเสียดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ก็เสียในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี เท่านั้น การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ทำให้ประชาชนเข้าใจว่าจำเลยมีเจตนาฉ้อโกงประชาชน จำเลยได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียงและความเชื่อถือจากประชาชน ขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลย เป็นเงิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ศาลชั้นต้นไม่รับฟ้องแย้ง จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง แต่ได้ขอถอนอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์อนุญาตและจำหน่ายคดีสำหรับฟ้องแย้งแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินคืนแก่โจทก์จำนวน ๑,๗๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี จากต้นเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๒๖ จากต้นเงิน ๑,๖๑๖,๘๒๐ บาท นับแต่วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖ จากต้นเงิน ๒๓,๑๘๐ บาท นับแต่วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๒๖ จากต้นเงิน ๗๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๖ จนกว่าจำเลยจะชำระเงินให้โจทก์เสร็จกับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทน โดยกำหนดค่าทนายความ ๑๐,๐๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ ๑๐,๐๐๐ บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาว่า ตามเช็คพิพาทดังกล่าวผู้ที่ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็ค คือ นายพัลลภ อัศวเนตรมณี และนางสาวงามจิต แซ่เบ๊ ซึ่งได้ลงลายมือชื่อในฐานะส่วนตัวเป็นผู้สั่งจ่าย มิได้ระบุว่ากระทำการแทนจำเลยหรือบุคคลใด ดังนั้น จำเลยจึงไม่ต้องรับผิด เห็นว่า จำเลยเป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการเงินทุนเพื่อการพัฒนาและเพื่อการเคหะ จำเลยสามารถจะกู้ยืมเงินและรับเงินจากประชาชนโดยตกลงจ่ายดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ ๑๕ ต่อปี อันเป็นวิธีการจัดหามาซึ่งเงินทุนตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยเอกสารหมาย ล.๗๓ นายพัลลภ อัศวเนตรมณี เป็นกรรมการผู้จัดการ และนางสาวงามจิต แซ่เบ๊ เป็นกรรมการของบริษัทจำเลย ทั้งสองคนมีอำนาจทำกิจการของบริษัทจำเลยได้ โจทก์นำเงินไปฝาก ณ ที่ทำการของบริษัทจำเลยต่อพนักงานของจำเลย พนักงานของจำเลยรับฝากเงินจากโจทก์และดำเนินการให้นายพัลลภ อัศวเนตรมณี และนางสาวงามจิต แซ่เบ๊ ออกเช็คสั่งจ่ายเงินตามจำนวนเงินที่รับจากโจทก์และกำหนดวันจ่ายเงินคืนตามเช็คเป็นเวลา ๑ ปี แล้วนำเช็คบรรจุในซองพลาสติกมีตราของบริษัทจำเลยแล้วใส่ในซองจดหมายซึ่งมีชื่อบริษัทจำเลยมอบให้พนักงานจำเลยนำมามอบให้แก่โจทก์ มีลักษณะเพื่อเป็นการใช้เงินคืน ซึ่งจำเลยเคยปฏิบัติต่อโจทก์เช่นเดียวกันนี้มาก่อนเพียงแต่แตกต่างกันบ้างเล็กน้อย กล่าวคือ เมื่อครั้งก่อน ๆ จำเลยโดยกรรมการผู้จัดการและกรรมการอีก ๑ คน ได้ลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของจำเลยในตั๋วสัญญาใช้เงินพร้อมระบุอัตราดอกเบี้ยมอบแก่โจทก์เพื่อเป็นการใช้เงินคืน การที่โจทก์นำเงินไปมอบให้แก่จำเลยก็เพื่อประสงค์จะได้ดอกเบี้ยตามข้อตกลงที่จำเลยให้สัญญานั้น แต่โจทก์มิได้ตกลงกับจำเลยโดยเฉพาะว่าการใช้เงินคืนแก่โจทก์ จำเลยจะต้องทำการออกตั๋วสัญญาใช้เงินหรือออกเช็คให้แก่โจทก์ หรือต้องทำในรูปสัญญากู้ยืม หรือประการอื่นใด การที่กรรมการผู้จัดการและกรรมการอีก ๑ คน ร่วมกันลงลายมือชื่อออกเช็คสั่งจ่ายเงินตามจำนวนที่รับมอบจากโจทก์ กำหนดจ่ายเงินคืนไว้ล่วงหน้าอีก ๑ ปี ตามระยะเวลาที่ตกลงใช้เงินคืน จึงเป็นกรณีที่ตัวแทนจำเลยปฏิบัติต่อโจทก์ฝ่ายเดียว โจทก์มิได้ตกลงหรือรู้เห็นด้วยว่าเป็นการฝ่าฝืนประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้บริษัทเงินทุนปฏิบัติในการกู้ยิมเงินหรือรับเงินจากประชาชนและการกำหนดอัตราดอกเบี้ย หรือส่วนลดที่บริษัทเงินอาจจ่ายหรืออาจเรียกได้ จึงมิใช่นิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์ขัดต่อกฎหมายอันจะเป็นการแยกวัตถุประสงค์ของบริษัท พฤติการณ์ดังกล่าวมาของพนักงานบริษัทจำเลยตลอดจนกรรมการผู้จัดการ และกรรมการบริษัทจำเลยตามที่โจทก์นำสืบฟังได้ว่า จำเลยเป็นคู่สัญญากับโจทก์ โดยจำเลยได้รับมอบเงินจากโจทก์แล้วสัญญาจะใช้เงินคืนพร้อมดอกเบี้ย อันเป็นการรับฝากเงินโดยสัญญาให้ดอกเบี้ยตามที่โจทก์ฟ้อง จึงมีผลผูกพันบริษัทจำเลยให้ต้องรับผิดตามสัญญารับฝากเงินดังกล่าว ฉะนั้นจำเลยจึงต้องรับผิดใช้เงินคืนแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยตามที่ได้สัญญาไว้
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนโจทก์ ๑๐,๐๐๐ บาท.

Share