คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1112/2549

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คดีโจทก์มีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาท ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ และศาลอุทธรณ์ภาค 6 รับวินิจฉัยอุทธรณ์ให้ตลอดจนศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยต่อมาจึงเป็นการไม่ชอบ แต่เมื่อการดำเนินกระบวนพิจารณาตั้งแต่ต้นดำเนินการอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์และศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์มาทำให้โจทก์ผิดหลงเข้าใจว่าคดีไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงจึงไม่ได้ใช้สิทธิยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามมาตรา 224 วรรคหนึ่ง การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์โดยเข้าใจว่าเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ศาลฎีกาให้เพิกถอนคำสั่งรับอุทธรณ์ของศาลชั้นต้นและให้ศาลชั้นต้นแจ้งให้โจทก์ทราบถึงสิทธิในการยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองอุทธรณ์หรือได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์เป็นหนังสือจากอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้นหรืออธิบดีผู้พิพากษาภาคผู้มีอำนาจ ตามมาตรา 224 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ซื้อที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 2273 จากนางล้วน อ้นโต นางล้วนส่งมอบการครอบครองที่ดินให้โจทก์แล้วแต่ถึงแก่ความตายเสียก่อนที่จะไปจดทะเบียนโอนที่ดินให้ ต่อมาจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนางล้วนได้จดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวเป็นของตน เมื่อต้นไป 2538 จำเลยบุกรุกเข้าไปในที่ดินได้ทำลายพืชผลและตัดฟันต้นไม้เสียหายคิดเป็นเงิน 26,500 บาท พร้อมกับปักหลักกั้นทางเดินเข้าออกและปลูกบ้าน 1 หลัง ขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 2273 ตำบลหนองโพ อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์แก่โจทก์ หากไม่ไปให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดิน และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ปรับที่ดินให้อยู่ในสภาพเดิม หากไม่รื้อถอนให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนโดยจำเลยออกค่าใช้จ่าย ให้จำเลยชำระค่าเสียหาย 26,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า นางล้วน อ้นโต ไม่เคยขายที่ดินให้โจทก์จำเลยจดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินตามฟ้องโดยชอบด้วยกฎหมาย ค่าเสียหายสูงเกินควร โจทก์ฟ้องคดีเกินหนึ่งปีนับแต่วันที่ถูกแย่งการครอบครอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 3,960 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยไปจดทะเบียนขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 2273 ตำบลหนองโพ อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ให้โจทก์ โดยโจทก์เป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนและภาษีแทนจำเลย หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินดังกล่าว กับรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินนั้นด้วย และให้จำเลยใช้เงิน 9,900 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 3,000 บาท นอกจากที่แก้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกิน 125 บาท แก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ จำเลย และศาลชั้นต้นดำเนินคดีในส่วนของที่ดินพิพาทมาอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์ และคดีคงมีจำนวนทุนทรัพย์ในส่วนของค่าเสียหาย 26,500 บาท ในชั้นอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ตรวจสำนวนแล้วเห็นว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์และสั่งให้ศาลชั้นต้นตีราคาที่ดินพิพาทเพื่อเรียกเก็บค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์จากโจทก์ ปรากฏว่าที่ดินพิพาทมีราคาเพียง 18,720 บาท คดีโจทก์จึงมีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาท ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ และศาลอุทธรณ์ภาค 6 รับวินิจฉัยอุทธรณ์ให้ ตลอดจนศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยต่อมาจึงเป็นการไม่ชอบ แต่เมื่อดำเนินกระบวนพิจารณาตั้งแต่ต้นดำเนินการอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์และศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์มา ทำให้โจทก์ผิดหลงเข้าใจว่าคดีไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงจึงไม่ได้ใช้สิทธิยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีนี้ในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์โดยเข้าใจว่าเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ศาลฎีกาเห็นสมควรให้เพิกถอนคำสั่งรับอุทธรณ์ของศาลชั้นต้นและให้ศาลชั้นต้นแจ้งให้โจทก์ทราบถึงสิทธิในการยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองอุทธรณ์ของโจทก์ในข้อเท็จจริงหรือได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์เป็นหนังสือจากอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้นหรืออธิบดีผู้พิพากษาภาคผู้มีอำนาจ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง”
พิพากษาให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาตั้งแต่คำสั่งรับอุทธรณ์ของศาลชั้นต้นและให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 กับยกฎีกาของจำเลย หากโจทก์ประสงค์จะใช้สิทธิยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองอุทธรณ์ของโจทก์ในข้อเท็จจริงหรือได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์เป็นหนังสือจากอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้นหรืออธิบดีผู้พิพากษาภาคผู้มีอำนาจ ให้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อโจทก์ได้ยื่นคำร้องแล้ว ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการจัดส่งคำร้องนั้นไปให้ผู้พิพากษาที่โจทก์ระบุในคำร้องพิจารณาและมีคำสั่งเกี่ยวกับอุทธรณ์ของโจทก์ หากมีการรับรองหรืออนุญาตหรือไม่ประการใดหรือโจทก์มิได้ใช้สิทธิยื่นคำร้องภายในกำหนด ก็ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไปในเรื่องการสั่งรับหรือไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ ยกเว้นค่าขึ้นศาลให้เป็นพับ คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดแก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ.

Share