คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1192/2549

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นทำการชี้สองสถานและนัดสืบพยานโจทก์แล้ว ก่อนสืบพยานศาลชั้นต้นตรวจสำนวนมีคำสั่งว่าพิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์ในชั้นนี้ประกอบกับจำเลยไม่คัดค้านแล้วเชื่อว่ามูลคดีของโจทก์เกิดขึ้นในศาลชั้นต้น โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นได้ให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานที่ได้จากการไต่สวนมิใช่คำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายอันจะทำให้คดีเสร็จไปได้ทั้งเรื่องหากเสร็จไปเฉพาะแต่ประเด็นบางข้อตาม ป.วิ.พ. มาตรา 24 และมาตรา 228 (3) แต่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามมาตรา 226 วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยไม่ได้โต้แย้งคำสั่งนั้นไว้ จำเลยจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2539 จำเลยซื้อเครื่องจักรจำนวน 5 เครื่อง รวมราคม 8,000,000 บาท จากโจทก์ และโจทก์ส่งมอบเครื่องจักรให้แก่จำเลยแล้ว โดยเครื่องจักรสามารถใช้งานได้ถูกต้องตามสัญญา แต่จำเลยชำระราคาค่าเครื่องจักรให้แก่โจทก์เพียง 3 เครื่อง คงค้างชำระค่าเครื่องจักรจำนวน 2 เครื่อง รวมเป็นเงิน 3,700,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือน นับแต่วันที่ 16 กันยายน 2529 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยชำระภาษีมูลค่าเพิ่มของเงินค่าเครื่องจักรในอัตราร้อยละ 10 แก่โจทก์ หรือกรณีมีการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มให้จำเลยชำระค่าภาษีมูลค่าเพิ่มของเงินค่าเครื่องจักรในอัตราที่ประกาศใช้ในวันที่จำเลยชำระเงินค่าเครื่องจักรแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยซื้อเครื่องจักรจากโจทก์มากกว่า 5 เครื่อง โดยมีเจตนาทำสัญญาซื้อขายในคราวเดียวกัน และมีผลผูกพันเป็นสัญญาซื้อขายฉบับเดียวกัน โจทก์ผิดสัญญาส่งมอบเครื่องจักรล่าช้า และเครื่องจักรชำรุดบกพร่องโดยโจทก์ไม่ดูแลซ่อมแซมเครื่องจักรตามข้อตกลงในสัญญา โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือน จำเลยไม่ต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นตรวจสำนวนแล้วปรากฏว่าข้อเท็จจริงยังไม่แน่ชัดว่ามูลคดีเกิดขึ้นในเขตอำนาจของศาลชั้นต้นหรือไม่ จึงดำเนินการไต่สวนแล้วเชื่อว่า มูลคดีเกิดขึ้นในเขตอำนาจของศาลชั้นต้น ให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป สืบพยานโจทก์กับพยานจำเลยจนแล้วเสร็จและพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 3,959,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 3,700,000 บาท นับแต่วันที่ 18 ตุลาคม 2539 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยใช้แทนตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีโดยกำหนดค่าทนายความให้ 50,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้ดำเนินการต่อไป
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า ข้อเท็จจริงในสำนวนคดีได้ความว่า โจทก์ยื่นฟ้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำฟ้อง หลังจากทำการชี้สองสถานและนัดสืบพยานโจทก์แล้ว ก่อนสืบพยาน ศาลชั้นต้นตรวจสำนวนแล้วปรากฏว่า คดีนี้โจทก์อ้างว่ามูลคดีเกิดในเขตศาลชั้นต้นแต่ในสัญญาซื้อขายเครื่องจักรพิพาทมิได้ระบุถึงสถานที่ที่ทำสัญญาไว้สอบทนายโจทก์แล้วแถลงว่า สัญญาซื้อขายเครื่องจักรพิพาททำที่ภูมิลำเนาของกรรมการผู้จัดการบริษัทจำเลย ดังนั้น เมื่อยังไม่แน่ชัดว่ามูลคดีได้เกิดขึ้นในเขตศาลชั้นต้นหรือไม่ จึงสมควรให้ได้ความชัดแจ้งในเรื่องนี้ก่อน เมื่อทำการไต่สวนเรื่องเขตอำนาจศาลจนเสร็จแล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าพิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์ในชั้นนี้ประกอบกับจำเลยไม่คัดค้านแล้ว เชื่อว่ามูลคดีของโจทก์เกิดขึ้นในศาลชั้นต้น โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นได้ให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานที่ได้จากการไต่สวน มิใช่คำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายอันจะทำให้คดีเสร็จไปได้ทั้งเรื่อง หากเสร็จไปเฉพาะแต่ประเด็นบางข้อตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 และมาตรา 228 (3) แต่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามมาตรา 226 วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยไม่ได้โต้แย้งคำสั่งนั้นไว้ จำเลยจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จะวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบ จำเลยจึงฎีกาคัดค้านคำสั่งดังกล่าวต่อมาไม่ได้เพราะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 1 ต้องห้ามฎีกาตามมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยกอุทธรณ์และฎีกาของจำเลย ให้คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดในชั้นอุทธรณ์และฎีกาแก่จำเลย ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์และฎีกาให้เป็นพับ.

Share