แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ป.รัษฎากร มาตรา 118 ไม่ได้บังคับให้ปิดและขีดฆ่าอากรแสตมป์ในขณะทำสัญญา แม้มิได้ปิดและขีดฆ่าอากรแสตมป์มาแต่แรกในขณะทำสัญญา แต่เมื่อได้ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนและขีดฆ่าแล้วก่อนฟ้องคดีย่อมรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีได้ ส่วนการที่โจทก์ได้ปฏิบัติการแก้ไขข้อบกพร่องในการปิดอากรแสตมป์ในหนังสือสัญญากู้ยืมเงินชอบด้วย ป.รัษฎากร มาตรา 113 แล้วหรือไม่ เป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหากกับการปิดอากรแสตมป์ตามปกติ
คำฟ้องของโจทก์ไม่มีข้อความว่าผู้เรียงพิมพ์และลายมือชื่อของผู้เรียงพิมพ์ เป็นคำฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 67 (5) ศาลมีอำนาจสั่งให้คืนหรือแก้ไขคำฟ้องได้ตามมาตรา 18 วรรคสอง แต่ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งดังกล่าวและได้ดำเนินกระบวนพิจารณากันมาจนเสร็จสิ้นถึงศาลฎีกาแล้ว ปรากฏว่าโจทก์ได้แต่งตั้งให้ ช. เป็นทนายความ และในคำฟ้องทนายความโจทก์ลงชื่อเป็นโจทก์ ในคำแก้อุทธรณ์และคำแก้ฎีกาทนายความโจทก์ลงชื่อเป็นผู้เรียงพิมพ์ พอที่จะฟังได้ว่าทนายความโจทก์เป็นผู้เรียงพิมพ์คำฟ้อง ซึ่งมีอำนาจกระทำได้ จึงไม่จำต้องคืนคำฟ้องให้โจทก์ไปทำมาใหม่หรือแก้ไขเพิ่มเติม การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลที่ดำเนินมาทั้งหมดจึงไม่เสียไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นสามีภริยากัน จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้ยืมเงินกับโจทก์ 2 ฉบับ ฉบับแรกลงวันที่ 21 ธันวาคม 2535 จำนวน 109,000 บาท กำหนดชำระคืนภายในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2536 ฉบับที่สองลงวันที่ 7 มกราคม 2536 จำนวน 25,000 บาท กำหนดชำระคืนภายในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2536 ตกลงให้คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี สัญญากู้ยืมเงินทั้งสองฉบับ มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ทำสัญญาค้ำประกัน รับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยแก่โจทก์ตามสัญญา โจทก์ทวงถามจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1 เพิกเฉย โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันทำสัญญากู้ คิดถึงวันฟ้อง รวมเป็นดอกเบี้ยเป็นจำนวน 186,595.64 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 320,595.64 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 134,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยกู้เงินโจทก์ หนังสือสัญญากู้ยืมเงินที่โจทก์อ้างเป็นเอกสารปลอม ลายมือชื่อในช่องผู้กู้ไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ไม่เคยลงลายมือชื่อในหนังสือค้ำประกัน ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับดอกเบี้ยค้างชำระขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 134,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องย้อนหลังลงไป 5 ปี และนับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 5 เมษายน 2545) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการต่อไปว่า หนังสือสัญญากู้ยืมเงิน เอกสารหมาย จ.1 และ จ.3 รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่ จำเลยทั้งสองฎีกาว่า หนังสือสัญญากู้ยืมเงินทั้งสองฉบับปิดอากรแสตมป์ภายหลังทำสัญญารับฟังเป็นหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้นั้น เห็นว่า ประมวลรัษฎากร มาตรา 118 หาได้บังคับให้ปิดและขีดฆ่าอากรแสตมป์ในขณะทำสัญญาไม่ ดังนี้ แม้มิได้ปิดและขีดฆ่าอากรแสตมป์มาแต่แรกในขณะทำสัญญา แต่เมื่อได้ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนและขีดฆ่าแล้วก่อนฟ้องคดีนี้ย่อมรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีได้ ส่วนการที่โจทก์ได้ปฏิบัติการแก้ไขข้อบกพร่องในการปิดอากรแสตมป์ในหนังสือสัญญากู้ยืมเงินชอบด้วยประมวลรัษฎากร มาตรา 113 แล้วหรือไม่นั้น ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหากกับการปิดอากรแสตมป์ตามปกติ ข้ออ้างของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการต่อไปว่า ฟ้องโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จำเลยทั้งสองฎีกาว่า คำฟ้องของโจทก์ไม่มีข้อความว่าผู้ใดเป็นผู้เรียงและผู้พิมพ์ มีสิทธิและหน้าที่เป็นทนายความหรือพนักงานอัยการหรือบุคคลอื่นใดมีความสามารถหรือหน้าที่จัดทำเป็นผู้เรียงผู้พิมพ์คำฟ้องเพื่อยื่นต่อศาลได้ตามกฎหมายหรือไม่ จึงเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า แม้คำฟ้องของโจทก์จะไม่มีข้อความว่าผู้เรียงพิมพ์และลายมือชื่อของผู้เรียงพิมพ์ เป็นคำฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 67 (5) ซึ่งศาลมีอำนาจสั่งให้คืนหรือแก้ไขคำฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 วรรคสอง ก็ตาม แต่ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งดังกล่าวและคดีนี้ได้ดำเนินกระบวนพิจารณากันมาจนเสร็จสิ้นถึงศาลฎีกาแล้ว ตามสำนวนปรากฏว่าโจทก์ได้แต่งตั้งให้นางสาวชลธิดา ปาวสานต์ เป็นทนายความ และในคำฟ้องทนายความโจทก์ลงชื่อเป็นโจทก์ ในคำแก้อุทธรณ์และคำแก้ฎีกาทนายความโจทก์ลงชื่อเป็นผู้เรียงพิมพ์ พอที่จะฟังได้ว่าทนายความโจทก์เป็นผู้เรียงพิมพ์คำฟ้อง ซึ่งมีอำนาจกระทำได้ คดีจึงไม่จำต้องคืนคำฟ้องให้โจทก์ไปทำมาใหม่หรือแก้ไขเพิ่มเติม การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลที่ดำเนินมาทั้งหมดจึงไม่เสียไป ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.