แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
คดีก่อนพิพาทในเรื่องจำเลยผิดสัญญาเช่ารถยนต์พิพาท โดยศาลพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยส่งมอบรถยนต์พิพาทอันเป็นวัตถุแห่งหนี้คืนแก่โจทก์ ส่วนคดีนี้โจทก์อ้างว่าโจทก์ไม่สามารถบังคับให้จำเลยส่งมอบรถยนต์พิพาทตามคำพิพากษา เนื่องจากจำเลยโอนรถยนต์ให้แก่ผู้อื่นไปแล้ว จึงขอให้บังคับจำเลยชดใช้ราคารถยนต์จำนวน 350,000 บาท ซึ่งเป็นหนี้เงินอันเป็นวัตถุแห่งหนี้แทนตัวทรัพย์ ซึ่งโจทก์สามารถฟ้องบังคับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคารถยนต์พิพาทมาได้พร้อมกันในคดีก่อนได้อยู่แล้ว ดังนี้ เมื่อทั้งสองคดีคู่ความเป็นคนเดียวกัน ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุว่าจำเลยผิดสัญญาเช่าหรือไม่เช่นเดียวกัน จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 80-1244 ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นศาลชั้นต้นพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ 2155/2540 ให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนและส่งมอบรถคันดังกล่าวให้แก่โจทก์ แต่ไม่สามารถบังคับตามคำพิพากษาได้เพราะจำเลยได้โอนรถยนต์คันดังกล่าวให้แก่บุคคลอื่นไปแล้ว ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ราคารถยนต์เป็นเงินจำนวน 350,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยได้ขายรถยนต์ตามฟ้องให้ผู้อื่นไปก่อนที่จะได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องในคดีตามที่โจทก์อ้างสภาพแห่งหนี้จึงไม่เปิดช่องให้บังคับได้ โจทก์ไม่เคยทวงถามให้จำเลยส่งมอบรถยนต์หรือใช้ราคาแทน จึงยังไม่มีการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2544 อันเป็นวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 7,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน โจทก์ไม่แก้อุทธรณ์ จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้ ให้คืนค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์จำนวน 1,250 บาท แก่จำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายว่า ฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2155/2540 หรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังว่าฟ้องโจทก์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2155/2540 ดังกล่าวมีประเด็นข้อพิพาทว่า ฟ้องโจทก์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2155/2540 ซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 828/2536 หรือไม่ จำเลยผิดสัญญาเช่าและต้องส่งมอบรถยนต์พิพาทที่จำเลยเช่าคืนแก่โจทก์หรือไม่ จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เพียงใด และฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ซึ่งศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ได้ฟ้องซ้ำ สัญญาเช่าเลิกกันแล้ว จำเลยต้องส่งมอบรถยนต์พิพาทคืนแก่โจทก์ คดีไม่ขาดอายุความ จึงพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนและส่งมอบรถยนต์พิพาทแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 6,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์คืนโจทก์ ทั้งนี้ต้องไม่เกิน 30 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีถึงที่สุดตามสำเนาคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2155/2540 เอกสารหมาย จ.2 เห็นว่าประเด็นข้อพิพาทสำคัญในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2155/2540 เป็นการพิพาทในเรื่องจำเลยผิดสัญญาเช่ารถยนต์พิพาท โดยศาลพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยส่งมอบรถยนต์พิพาทอันเป็นวัตถุแห่งหนี้คืนแก่โจทก์ ซึ่งสืบเนื่องมาจากการผิดสัญญาเช่า ส่วนคดีนี้โจทก์อ้างว่าโจทก์ไม่สามารถบังคับให้จำเลยส่งมอบรถยนต์พิพาทตามคำพิพากษา เนื่องจากจำเลยโอนรถยนต์ให้แก่ผู้อื่นไปแล้ว จึงขอให้บังคับจำเลยชดใช้ราคารถยนต์จำนวน 350,000 บาท ซึ่งเป็นหนี้เงินอันเป็นวัตถุแห่งหนี้แทนตัวทรัพย์ ซึ่งโจทก์สามารถฟ้องบังคับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคารถยนต์พิพาทมาได้พร้อมกันในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2155/2540 ได้อยู่แล้ว ดังนี้ เมื่อคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2155/2540 และคดีนี้เป็นคู่ความเดียวกันประเด็นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2155/2540 และคดีนี้ต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุว่าจำเลยผิดสัญญาเช่าหรือไม่เช่นเดียวกันโจทก์จะมารื้อร้องฟ้องให้จำเลยชดใช้ราคาทรัพย์ในประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยอันถึงที่สุดในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2155/2540 แล้ว หาได้ไม่ กรณีจึงเป็นฟ้องซ้ำ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยมิได้ฎีกา ศาลฎีกาชอบจะยกขึ้นวินิจฉัยได้”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ.