คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4471/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ระหว่างศาลชั้นต้นออกนั่งพิจารณาสืบพยานโจทก์ฝ่ายเดียวทนายจำเลยยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่โดยยื่นต่อพนักงานรับฟ้อง กรณีจึงเป็นการขอให้พิจารณาคดีใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 205 วรรคสอง การที่พนักงานรับฟ้องไม่ได้นำคำร้องเสนอต่อศาล ก่อนที่ศาลจะชี้ขาดตัดสินคดี จะถือว่าทนายจำเลยไม่มาศาลหาได้ไม่ คำร้องของจำเลยดังกล่าวมิใช่เป็นการขอพิจารณาคดีใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 207 อันจะต้องกล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งเหตุที่จำเลยขาดนัด และต้องแสดงข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 208 วรรคสอง การที่ศาลชั้นต้นไม่พิจารณาคำร้องของจำเลยแล้วพิพากษาคดีไป จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่นาโฉนดเลขที่ ๑๕๕๑๖ อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ จำเลยได้บุกรุกเข้าไปลักเกี่ยวข้าวในนาของโจทก์จนหมดทั้งแปลง ขอให้ศาลพิพากษาว่าข้าวในนาเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยยุ่งเกี่ยวและเคลื่อนย้ายข้าวออกจากนาของโจทก์
จำเลยให้การว่าจำเลยมีสิทธิเช่านาพิพาทตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. ๒๕๑๗ ข้าวในนาพิพาทเป็นของจำเลย
วันนัดสืบพยานโจทก์ครั้งแรกจำเลยไม่มาศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณา พิจารณาสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียว แล้วพิพากษาว่า ข้าวเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์
จำเลยยื่นคำร้องลงวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๒๕ ขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่โดยอ้างเหตุว่า ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์ตอนเช้าเวลา ๘.๓๐ นาฬิกา ทนายจำเลยมาศาล ครั้นเวลา ๑๒ นาฬิกา ทนายจำเลยไปกิจธุระ ระหว่างเดินทางกลับ รถยนต์ของทนายจำเลย เครื่องเสีย จึงมาศาลไม่ทันเวลา ทนายจำเลยมิได้จงใจขาดนัดศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกันให้รับคำร้องและนัดไต่สวน
ต่อมาวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๕ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งของศาลลงวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๒๕ เสีย แล้วมีคำสั่งใหม่ว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๘ วรรคสอง ให้ยกคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ ลงวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๒๕ ของจำเลยเสียโดยไม่ว่าต้องไต่สวน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นลงวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๕ และให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องขอพิจารณาใหม่ของจำเลยลงวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๒๕ แล้วมีคำสั่งต่อไปตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๒๕ เวลา ๘.๓๐ นาฬิกา ถึงวันนัดปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นว่าออกนั่งพิจารณา เวลา ๑๔.๒๐ นาฬิกา เนื่องจากเลื่อนมาจากตอนเช้าซึ่งติดพิจารณาคดีอื่น จำเลยไม่มาศาลและไม่แจ้งเหตุขัดข้อง จึงมีคำสั่งให้จำเลยขาดนัดพิจารณา สืบพยานโจทก์รวม ๓ ปาก และได้อ่านคำพิพากษาวันเดียวกันเวลา ๑๖ นาฬิกา ปรากฏว่าทนายจำเลยได้มาศาลในวันเดียวกัน เวลา ๑๕ นาฬิกายื่นคำร้องต่อพนักงานรับฟ้องว่ามิได้จงใจขาดนัด ขอให้ศาลไต่สวนและมีคำสั่งพิจารณาคดีใหม่ แล้ววินิจฉัยว่าก่อนที่ศาลชั้นต้นจะชี้ขาดตัดสินคดี ย่อมต้องถือว่าคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาและในการยื่นคำคู่ความหรือเอกสารต่อศาลนั้นนอกจากจะยื่นต่อศาลในระหว่างพิจารณาแล้ว คู่ความยังอาจยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของศาลได้อีก เมื่อทนายจำเลยยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ก่อนเวลาที่ศาลชั้นต้นจะชี้ขาดตัดสินคดีโดยคำพิพากษา ย่อมต้องถือว่าคดียังอยู่ในระหว่างการพิจารณา เป็นการขอให้พิจารณาคดีใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๕ วรรคสอง การที่พนักงานรับฟ้องไม่ได้นำคำร้องเสนอต่อศาลก่อนที่ศาลจะชี้ขาดตัดสินคดี จะถือว่าทนายจำเลยไม่มาศาลหาได้ไม่ คำร้องของจำเลยดังกล่าวมิใช่เป็นการขอพิจารณาคดีใหม่ตามมาตรา ๒๐๗ อันจะต้องกล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งเหตุที่จำเลยขาดนัด และต้องแสดงข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๐๘ วรรคสอง การที่ศาลชั้นต้นไม่พิจารณาคำร้องของจำเลยแล้วพิพากษาคดีไปจึงเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาตามมาตรา ๒๐๕ วรรคสอง
ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำร้องของศาลชั้นต้นและให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของจำเลยแล้วมีคำสั่งใหม่ โดยมิได้พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้นไม่ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นเสียด้วย

Share