แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีเดิมศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ตามฟ้องโจทก์ไม่ระบุว่าที่ดินรายพิพาทเป็นสินเดิมหรือสินสมรส ไม่อาจแบ่งแยกได้ตามฟ้องจึงพิพากษายกฟ้องโดยไม่ตัดสิทธิที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่ตาม ป.ม.วิ.แพ่ง ม. 148(3) ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีถึงที่สุดดังนี้ถือว่าศาลอุทธรณ์ให้ฟ้องใหม่ตาม ป.ม.วิ.แพ่ง ม. 148(3) เหมือนกัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑-๒ เป็นสามีภริยากันจำเลยที่ ๑ ได้เป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาคดีอาญาคดีแดงที่ ๕๑๒/๒๔๘๙ ซึ่งถึงที่สุดแล้วว่าเป็นหนี้ส่วนตัวจำเลยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ ๒ จึงไม่ผูกพันสินบริคณห์ฉะนั้นจึงขอให้แบ่งแยกที่ดินโฉนดที่ ๔๖๖๕ อันเป็นสินสมรสของจำเลย จัดสรรชำระหนี้ให้โจทก์
จำเลยต่อสู้ว่าฟ้องซ้ำ และว่าแยกสินบริคณห์ไม่ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้แบ่งแยกโฉนดที่ ๔๖๖๕ ออกเป็นสองส่วนเท่า ๆ กัน ส่วนของจำเลยที่ ๑ จัดสรรชำระหนี้โจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาเฉพาะฟ้องซ้ำ กับข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลล่าง
ศาลฎีกาเห็นว่าคดีเดิมศาลชั้นต้นพิพากษาว่าตามฟ้องโจทก์ไม่ระบุว่าที่ดินรายพิพาทเป็นสินเดิมหรือสินสมรส ไม่อาจแบ่งแยกได้ตามฟ้องจึงพิพากษายกฟ้องโดยไม่ตัดสิทธิที่จำนำคำฟ้องมายื่นใหม่ตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา ๑๔๘(๓) คดีถึงที่สุดชั้นศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ซึ่งหมายความว่าศาลชั้นต้นพิพากษาว่าอย่างไร ศาลอุทธรณ์ก็พิพากษาอย่างนั้น กล่าวคือ ยกฟ้องโจทก์แต่ให้ฟ้องใหม่ได้ตาม ป.ม.วิ.แพ่ง ข้อฎีกาอื่น ๆ มิได้ว่ากล่าวกันมา รับวินิจฉัยให้ไม่ได้
พิพากษายืน