คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1011/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์มีประจักษ์พยานยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายถึง 2 ปากพยานโจทก์ทั้งสองปากดังกล่าวไม่มีสาเหตุอย่างใดกับจำเลย น่าเชื่อว่าเบิกความไปตามความจริง เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจจัดให้มีการชี้ตัวคนร้าย พยานทั้งสองก็ชี้ระบุจำเลยเป็นคนร้ายโดยไม่ลังเล สร้อยคอที่จำเลยนำไปจำนำไว้ตามตั๋วจำนำที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดมาได้พยานก็ยืนยันว่าเป็นของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายชิงเอาไปทั้งสองเส้นที่จำเลยอ้างว่าเป็นของจำเลยนั้น หากเป็นของจำเลยจริงก็ไม่มีเหตุผลอย่างใดที่จะต้องแยกเอาไปจำนำเส้นละแห่งห่างไกลกันให้เป็นการยุ่งยากเช่นนั้น นอกจากนี้โจทก์ยังมีเจ้าของรถจักรยานยนต์คันที่คนร้ายใช้กระทำความผิดเป็นพยานเบิกความยืนยันว่า จำเลยเป็นคนร้ายร่วมกันชิงรถของพยานไปในคืนวันก่อนจะเกิดเหตุคดีนี้อีกด้วยที่จำเลยอ้างว่าชั้นจับกุมและสอบสวนถูกเจ้าพนักงานตำรวจทำร้ายบังคับให้ลงชื่อในกระดาษต่าง ๆ นั้น เมื่อโจทก์นำผู้จับและผู้สอบสวนเข้าเบิกความประกอบคำรับสารภาพ จำเลยหาได้ถามค้านถึงความข้อนี้ไว้ไม่ จำเลยมาอ้างตนเองและนำสืบข้างเดียวในภายหลังจึงไม่มีน้ำหนัก ตามภาพถ่ายการนำชี้สถานที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพทุกภาพมีประชาชนมุงดูอยู่เป็นจำนวนมาก เชื่อว่าชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพด้วยความสมัครใจและตามความสัตย์จริง จึงเชื่อได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายชิงทรัพย์ตามฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 289, 80, 339, 340 ตรี, 83, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนเป็นเงิน 563,634 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 วรรคสี่, 340 ตรี, 83 จำคุก 30 ปี จำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามมาตรา 78 คงจำคุก 20 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนคิดเป็นเงิน 563,634 บาท แก่ผู้เสียหายสำหรับข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่าจำเลยเป็นคนร้ายชิงทรัพย์รายนี้หรือไม่ โจทก์มีประจักษ์พยานที่เบิกความยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้าย 2 ปาก คือ นางลัดดาภริยาผู้เสียหาย และนางทุเรียน แย้มบางแก้ว ซึ่งตั้งแผงขายสลากกินแบ่งอยู่หน้าร้านทองที่เกิดเหตุ โดยนางลัดดาเบิกความว่า จำเลยเป็นคนขับรถจักรยานยนต์ให้นายมานพนั่งซ้อนท้ายมาจอดที่หน้าร้านพยานจำจำเลยได้เพราะจำเลยคร่อมขี่รถหันมองเข้ามาทางร้านตลอดเวลานางทุเรียนเบิกความว่าหลังได้ยินเสียงปืนเห็นจำเลยนั่งคร่อมอยู่บนรถที่จอดหน้าร้าน ต่อมาอีกครู่หนึ่งจึงเห็นนายมานพออกจากร้านมาขึ้นซ้อนท้ายรถจำเลย จำเลยขับรถไปแล้ว พยานจึงทราบว่ามีการปล้นร้านทอง เห็นว่าพยานโจทก์ทั้งสองดังกล่าวไม่มีสาเหตุอย่างใดกับจำเลยน่าเชื่อว่าเบิกความไปตามความจริง ตามบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนเอกสารหมาย จ.5 นางทุเรียนก็แจ้งรูปพรรณของคนร้ายที่เป็นคนขับรถไว้เช่นเดียวกับนางลัดดา เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจจัดให้มีการชี้ตัวคนร้าย พยานทั้งสองก็ชี้ระบุว่าจำเลยเป็นคนร้ายโดยไม่ลังเลสร้อยคอที่จำเลยนำไปจำนำไว้ตามตั๋วรับจำนำที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดมาได้นางลัดดาก็ยืนยันว่าเป็นของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายชิงเอาไปทั้งสองเส้น ที่จำเลยอ้างว่าเป็นของจำเลยซื้อมาก่อนสงกรานต์นั้น ข้อเท็จจริงปรากฏตามตั๋วรับจำนำเอกสารหมาย จ.6 และ จ.8ว่า สร้อยคอดังกล่าวนี้ถูกจำนำในวันเดียวกัน คือวันที่ 15 เมษายน2530 ทั้งสองเส้น แต่จำนำต่างสถานที่กัน เส้นหนึ่งจำนำที่โรงรับจำนำสุขสวัสดิ์ เขตราษฎร์บูรณะ อีกเส้นหนึ่งจำนำที่โรงรับจำนำไท้เส็งเฮง เขตคลองสาน หากเป็นของจำเลยจริงก็ไม่มีเหตุผลอย่างใดที่จะต้องแยกเอาไปจำนำเส้นละแห่งห่างไกลกันให้เป็นการยุ่งยากเช่นนั้น นอกจากนี้โจทก์ยังมีนายอนันต์ เรียงไกรสร เจ้าของรถจักรยานยนต์ คันที่คนร้ายใช้กระทำความผิดเป็นพยานเบิกความยืนยันว่า จำเลยเป็นคนร้ายร่วมกับนายมานพชิงรถของพยานไปในคืนวันก่อนจะเกิดเหตุคดีนี้อีกด้วย ชั้นสอบสวนจำเลยก็ให้การรับสารภาพและนำชี้สถานที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพให้ถ่ายภาพไว้เป็นหลักฐานที่จำเลยอ้างว่าชั้นจับกุมและสอบสวนถูกเจ้าพนักงานตำรวจทำร้ายบังคับให้ลงชื่อในกระดาษต่าง ๆ นั้น เมื่อโจทก์นำร้อยตำรวจโทยอดชายผู้จับจำเลยและพันตำรวจโทนเรศน์ น้อยนารถ ผู้สอบสวนจำเลยเข้าเบิกความประกอบคำรับสารภาพจำเลยหาได้ถามค้านถึงความข้อนี้ไว้ไม่ จำเลยมาอ้างตนเองและนำสืบข้างเดียวในภายหลัง จึงไม่มีน้ำหนักตามภาพถ่ายการนำชี้สถานที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ หมาย จ.16ทุกภาพก็มีประชาชนมุงดูอยู่เป็นจำนวนมาก เชื่อว่าชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพด้วยความสมัครใจและตามความสัตย์จริงยิ่งกว่านั้นโจทก์ยังมีบันทึกการจับกุมและคำให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนของนายมานพในสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3249/2530ของศาลชั้นต้น ซึ่งซัดทอดถึงจำเลยเป็นพยานหลักฐานประกอบจึงมีน้ำหนักมั่นคง ข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายชิงทรัพย์รายนี้ศาลล่างทั้งสองพิพากษามาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share