คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 515/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยมีกัญชาจำนวน2ถุงน้ำหนัก1กิโลกรัมและน้ำหนัก100กรัมไว้ในครอบครองจำเลยได้จำหน่ายกัญชาจำนวน1ถุงน้ำหนัก1กิโลกรัมให้แก่ ว. และในวันเดียวกันก่อนหน้านั้นจำเลยได้จำหน่ายกัญชาจำนวน1ถุงน้ำหนัก100กรัมให้แก่ ส. มาแล้วการที่จำเลยมีกัญชาจำนวน2ถุงไว้ในครอบครอบในคราวเดียวกันแม้จำเลยจะได้จำหน่ายกัญชาน้ำหนัก100กรัมให้แก่ ส. ไปก่อนและยังคงมีกัญชาน้ำหนัก1กิโลกรัมเหลืออยู่ในครอบครองแต่จำเลยก็ได้จำหน่ายกัญชาจำนวนดังกล่าวนี้ให้แก่ ว. ไปแล้วทั้งหมดโดยไม่มีกัญชาเหลืออยู่ในครอบครองของจำเลยอีกต่อไปการกระทำของจำเลยฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองจึงเป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานจำหน่ายกัญชาในแต่ละกรรมคดีคงลงโทษจำเลยได้ในฐานจำหน่ายกัญชาซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักรวม2กรรมเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง ขอให้ ลงโทษ จำเลย ตาม พระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 26, 75, 76, 102 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91
จำเลย ให้การ ปฎิเสธ
ศาลชั้นต้น พิพากษา ว่า จำเลย มี ความผิด ตาม พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง , 75 วรรคหนึ่ง ,76 วรรคหนึ่ง เป็น ความผิด หลายกรรม เรียง กระทง ลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐาน มี กัญชา ไว้ ใน ครอบครอง จำคุก 2 ปีฐาน จำหน่าย กัญชา 2 กระทง จำคุก กระทง ละ 2 ปี รวม 3 กระทงจำคุก 6 ปี คำให้การ รับสารภาพ ชั้น จับกุม และ ชั้นสอบสวน ของ จำเลยเป็น ประโยชน์ แก่ การ พิจารณา มีเหตุ บรรเทา โทษ ลดโทษ ให้ หนึ่ง ใน สามคง จำคุก 4 ปี ริบ กัญชา ของกลาง
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษาแก้ เป็น ว่า ลงโทษ ฐาน มี กัญชา ไว้ ในครอบครอง จำคุก 1 ปี รวม โทษ ฐาน จำหน่าย กัญชา 2 กระทง ตาม ที่ศาลชั้นต้น กำหนด เป็น จำคุก 5 ปี คำให้การ รับสารภาพ ชั้น จับกุมและ ชั้นสอบสวน ของ จำเลย เป็น ประโยชน์ แก่ การ พิจารณา มีเหตุ บรรเทา โทษลดโทษ ให้ หนึ่ง ใน สาม คง จำคุก 3 ปี 4 เดือน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย คดี มี ปัญหาข้อกฎหมาย ต้อง วินิจฉัย ใน ชั้นฎีกาเพียง ว่า การกระทำ ของ จำเลย ตาม ฟ้อง เป็น ความผิด กรรมเดียว หรือหลายกรรม คดี นี้ ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษาแก้ คำพิพากษา ศาลชั้นต้นเฉพาะ โทษ ที่ จะ ลง อันเป็น การ แก้ไข เล็กน้อย และ คง ลงโทษ จำคุก จำเลยไม่เกิน 5 ปี จึง ต้องห้าม มิให้ คู่ความ ฎีกา ใน ปัญหาข้อเท็จจริงตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งใน การ วินิจฉัย ปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกา ต้อง ฟัง ข้อเท็จจริง ตาม ที่ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 วินิจฉัย มา แล้ว จาก พยานหลักฐาน ใน สำนวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 222 ซึ่ง ศาลอุทธรณ์ ภาค 1ฟัง ข้อเท็จจริง ว่า จำเลย มี กัญชา จำนวน 2 ถุง น้ำหนัก 1 กิโลกรัมและ น้ำหนัก 100 กรัม ไว้ ใน ครอบครอง จำเลย ได้ จำหน่าย กัญชา จำนวน1 ถุง น้ำหนัก 1 กิโลกรัม ให้ แก่ จ่าสิบตำรวจ วิวัฒน์ชัย ซึ่ง ปลอม ตัว เป็น สาย ลับ ไป ล่อ ซื้อ และ ใน วันเดียว กัน ก่อนหน้า นั้น จำเลย ได้ จำหน่ายกัญชา จำนวน 1 ถุง น้ำหนัก 100 กรัม ให้ แก่ นาย สำเภา มา แล้ว เห็นว่า การ ที่ จำเลย มี กัญชา จำนวน 2 ถุง ไว้ ใน ครอบครอง ใน คราว เดียว กันแม้ จำเลย จะ ได้ จำหน่าย กัญชา น้ำหนัก 100 กรัม ให้ แก่ นาย สำเภา ไป ก่อน และ ยัง คง มี กัญชา น้ำหนัก 1 กิโลกรัม เหลือ อยู่ ใน ครอบครอง แต่ จำเลยก็ ได้ จำหน่าย กัญชา จำนวน ดังกล่าว นี้ ให้ แก่ จ่าสิบตำรวจ วิวัฒน์ชัย ไป แล้ว ทั้งหมด โดย ไม่มี กัญชา เหลือ อยู่ ใน ครอบครอง ของ จำเลย อีก ต่อไปดังนั้น การกระทำ ของ จำเลย ฐาน มี กัญชา ไว้ ใน ครอบครอง จึง เป็น กรรมเดียวกับ ความผิด ฐาน จำหน่าย กัญชา ใน แต่ละ กรรม คดี คง ลงโทษ จำเลย ฐาน จำหน่ายกัญชา ซึ่ง เป็น บทที่ มี โทษหนัก รวม 2 กรรม เท่านั้น ที่ ศาลล่าง ทั้ง สองลงโทษ ฐาน มี กัญชา ไว้ ใน ครอบครอง มา ด้วย นั้น เป็น การ ไม่ชอบ ฎีกา ของจำเลย ฟังขึ้น บางส่วน
พิพากษาแก้ เป็น ว่า ให้ ลงโทษ จำเลย ฐาน จำหน่าย กัญชา ตามพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง ,75 วรรคหนึ่ง , รวม 2 กรรม คง จำคุก 2 ปี 8 เดือน

Share