แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ที่ 1  ที่ 2  รู้เห็นในการที่จำเลยที่ 1  ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแปลงพิพาทกับจำเลยที่ 2 มาก่อน  มีเจตนาขัดขวางการโอนที่ดินแปลงพิพาท  ด้วยวิธีขออายัดและฟ้องศาล  โดยมีคำขอให้ห้ามชั่วคราวมิให้มีการทำนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงพิพาท  ซึ่งเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต  จึงเป็นการร่วมกันจงใจกระทำละเมิดต่อจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 2  เพียงแต่ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทกับจำเลยที่ 1    จำเลยที่ 1  ยังมิได้จดทะเบียนเพื่อให้การซื้อขายสมบูรณ์  และมิได้ส่งมอบที่ดินให้จำเลยที่ 2 เข้าครอบครอง  จำเลยที่ 1 คงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินอยู่  จำเลยที่ 2  จึงยังไม่มีอำนาจใด ๆ ที่จะขับไล่โจทก์ที่ 1  ที่ 2  ซึ่งอาศัยอยู่ในบ้านของโจทก์ที่ 2  ให้ออกไปจากที่พิพาทได้
ย่อยาว
คดีสองสำนวนนี้  ศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน  โดยให้เรียกโจทก์ที่ ๑  ในสำนวนแรกซึ่งเป็นจำเลยที่ ๓  ในสำนวนที่สองว่าโจทก์ที่ ๑   ให้เรียกโจทก์ที่ ๒  ในสำนวนแรกซึ่งเป็นจำเลยที่ ๒  ในสำนวนที่สองว่าโจทก์ที่ ๒   ให้เรียกจำเลยในสำนวนแรกซึ่งเป็นจำเลยที่ ๑  ในสำนวนที่สองว่าจำเลยที่ ๑  และเรียกผู้ร้องสอดเข้าเป็นจำเลยร่วมในสำนวนแรกและเป็นโจทก์ในสำนวนที่สองว่าจำเลยที่ ๒
สำนวนแรก   โจทก์ที่ ๑  ที่ ๒  ฟ้องว่า  โจทก์ที่ ๑  ที่ ๒ เป็นเจ้าของที่ดินโจทก์ที่สองปลูกบ้านอยู่ในที่ดินของโจทก์ที่ ๑   จำเลยที่ ๑  ทำกลฉ้อฉลหลอกลวงเอาโฉนดที่ดินจากโจทก์ที่ ๑  ไปว่าจะไปจำนองเอาเงินมาค้าขาย  แต่กลับเอาไปโอนขายให้แก่จำเลยที่ ๑ เอง  ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนการโอนขายดังกล่าว
จำเลยที่ ๑  ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา  จำเลยที่ ๒  เข้าเป็นจำเลยร่วม
สำนวนที่สอง   จำเลยที่ ๒  เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑  และโจทก์ที่ ๑  ที่ ๒  ว่า  จำเลยที่ ๒  ได้ตกลงซื้อที่ดินแปลงพิพาทจากโจทก์ที่ ๒  แต่ที่พิพาทมีชื่อจำเลยที่ ๑  เป็นเจ้าของ  จึงได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายกับจำเลยที่ ๑   และจำเลยที่ ๒  ได้ออกเช็คสั่งจ่ายเป็นค่าซื้อที่ดินให้จำเลยที่ ๑ ไปแล้ว ๔๕๐,๐๐๐ บาท   ระหว่างการซื้อขาย  โจทก์ที่ ๑  โจทก์ที่ ๒  ใช้สิทธิไม่สุจริตขัดขวางไม่ให้จำเลยที่ ๒  ได้รับการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์  โดยได้ขออายัดและฟ้องร้องคดีโดยยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว   ห้ามจำหน่ายจ่ายโอนที่พิพาท  ทำให้จำเลยที่ ๒  เสียหาย  จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ ๑  ไปโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้จำเลยที่ ๒  ให้จำเลยที่ ๑  และโจทก์ทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายและออกจากที่พิพาท
จำเลยที่ ๑  ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
โจทก์ที่ ๑  ที่ ๒  ให้การว่า  จำเลยที่ ๒  ไม่เคยตกลงซื้อที่ดินแปลงพิพาทกับโจทก์  โจทก์ไม่เคยทราบการซื้อขายที่ดินแปลงพิพาทระหว่างจำเลยที่ ๑  กับจำเลยที่ ๒    จำเลยที่ ๑ หลอกลวงให้โจทก์ที่ ๑  สำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรม  จำเลยที่ ๑  จึงมีเชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงพิพาท  โจทก์ได้ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมแล้ว  ไม่ได้ละเมิด
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑  ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงพิพาทให้จำเลยที่ ๒   ให้จำเลยที่ ๑ และโจทก์ที่ ๑  ที่ ๒  พร้อมทั้งบริวารออกจากที่ดินแปลงพิพาท คำขอนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ที่ ๑  ที่ ๒  อุทธรณ์ในสำนวนแรกและจำเลยที่ ๒ อุทธรณ์ในสำนวนที่สอง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า  ให้โจทก์ที่ ๑  ที่ ๒ ร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้แก่จำเลยที่ ๒ เดือนละ  ๔,๖๘๗ บาท ๕๐ สตางค์  นับแต่วันที่  ๑๕  กันยายน  ๒๕๑๘  เป็นต้นไป   นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ที่ ๑  ที่ ๒  ฎีกาทั้งสองจำนวน
ระหว่างฎีกา  นายสอน  ตั้งจิตนุสรณ์  จำเลยที่ ๒  ถึงแก่กรรม  นางจิตรา  ตั้งจิตนุสรณ์ เข้าเป็นคู่ความแทนที่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า  โจทก์ที่ ๑  ที่ ๒  รู้เห็นในการที่จำเลยที่ ๑  ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแปลงพิพาทกับจำเลยที่ ๒ มาก่อน  โจทก์ที่ ๑  ที่ ๒ มีเจตนาขัดขวางการโอนที่ดินแปลงพิพาท  ด้วยพิธีขออายัด  และฟ้องศาล  โดยมีคำขอให้ห้ามชั่วคราว  มิให้มีการทำนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงพิพาท  ซึ่งเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต  จึงเป็นการร่วมกันจงใจกระทำละเมิดต่อจำเลยที่ ๒
ที่โจทก์ที่ ๑  ที่ ๒  ฎีกาว่าศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่โจทก์ที่ ๑  ที่ ๒  ออกจากที่ดินโฉนดพิพาทเป็นการไม่ชอบนั้น  ศาลฎีกาเห็นว่า  จำเลยที่ ๒  เพียงแต่ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแปลงพิพาทกับจำเลยที่ ๑  จำเลยที่ ๑  ยังมิได้จดทะเบียนเพื่อให้การซื้อขายสมบูรณ์  และมิได้ส่งมอบที่ดินให้จำเลยที่ ๒ เข้าครอบครอง  จำเลยที่ ๑  คงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินอยู่  จำเลยที่ ๒ จึงยังไม่มีอำนาจใด ๆ ที่จะขับไล่โจทก์ที่ ๑  ที่ ๒  ซึ่งอาศัยอยู่ในบ้านของโจทก์ที่ ๒ ให้ออกไปจากที่พิพาท  ฎีกาของโจทก์ที่ ๑  ที่ ๒  เกี่ยวกับเรื่องนี้  และตามประเด็นที่ศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ที่ ๑  ที่ ๒  รับผิดชดใช้ค่าเสียหายฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่าโจทก์ที่ ๑  ที่  ๒  ไม่ต้องร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้แก่จำเลยที่ ๒  ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์  และคำขอของจำเลยที่ ๒  ที่ให้โจทก์ที่ ๑  ที่ ๒  ออกจากที่ดินให้ยกเสีย  นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
