คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1269-1273/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยโดยเห็นว่าตามคำฟ้อง คำให้การและเอกสารที่คู่ความส่งศาล ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้แล้วไม่จำเป็นต้องสืบพยานฟังข้อเท็จจริงอีกต่อไป แล้วยกข้อเท็จจริงขึ้นวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายให้ยกฟ้องโจทก์ ดังนี้ เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ซึ่งไม่ถือว่าเป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณาตามมาตรา 227 โจทก์จึงมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งให้งดสืบพยานดังกล่าวได้โดยไม่จำเป็นต้องโต้แย้งคำสั่งนั้นไว้
ประเด็นข้อสำคัญของคดี ทั้ง 5 สำนวนซึ่งพิจารณารวมกันมีว่า เงินมีสาขาธนาคารโจทก์ในกรุงเทพฯ จ่ายให้สำนักงานใหญ่หรือสาขาอื่นในต่างประเทศเป็นรายจ่ายที่ต้องห้ามในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี (9) (10) (11) หรือไม่ และเงินดังกล่าวถือว่าเป็นกำไรซึ่งโจทก์จะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากการจำหน่ายเงินกำไรออกไปจากประเทศไทยตามมาตรา 70 ทวิหรือไม่ ซึ่งโจทก์กล่าวอ้างว่าเงินดังกล่าวไม่ใช่ดอกเบี้ยที่คิดสำหรับเงินทุน เงินสำรองหรือเงินกองทุนของตนเอง ไม่ใช่เงินกำไรหรือกันไว้จากกำไร แต่เป็นเงินได้ที่ยังไม่ได้หักค่าใช้จ่ายและเป็นรายจ่ายที่จะทำให้ได้กำไรมาสำหรับดำเนินกิจการสาขาธนาคารโจทก์ในประเทศไทยโดยเฉพาะ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (13) (14) จึงถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้ จำเลยต่อสู้ว่าการจ่ายเงินดังกล่าวภายในธุรกิจนิติบุคคลเดียวกัน ต้องห้ามมิให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิตามมาตรา 65 ตรี (9) (10) (11) และถือว่าโจทก์จำหน่ายเงินกำไรออกไปจากประเทศไทยตามมาตรา 70 ทวิ กับต่อสู้เกี่ยวกับข้อที่โจทก์อ้างว่ามีค่าใช้จ่ายโดยต่อสู้ด้วยว่า โจทก์จะยกเรื่องค่าใช้จ่ายนำมาฟ้องไม่ได้ เพราะไม่ได้ยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ดังนี้ การที่จะวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวข้างต้นจะต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่คู่ความโต้เถียงกันเสียก่อนว่า เงินที่สาขาธนาคารโจทก์ในกรุงเทพ ฯ จ่ายไปนั้นเป็นเงินที่จ่ายไปตามที่โจทก์กล่าวอ้างหรือตามที่จำเลยต่อสู้และมีค่าใช้จ่ายหรือไม่ ทั้งโจทก์ยกเรื่องค่าใช้จ่ายขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์หรือไม่ นอกจากนี้ในบางสำนวนยังมีข้อเท็จจริงที่คู่ความโต้เถียงกันอยู่ เกี่ยวกับโจทก์จำหน่ายเงินกำไรออกไปเมื่อไร ก่อนหรือหลังมาตรา 70 ทวิใช้บังคับ เจ้าพนักงานประเมินคำนวณภาษีถูกต้องหรือไม่ ประเมินให้ชำระภาษีซ้ำหรือไม่โจทก์ชำระเงินภาษีบางปีไปโดยหลงผิดหรือไม่ ทำให้โจทก์เสียเปรียบหรือไม่ คดีขาดอายุความหรือไม่ โจทก์จำหน่ายเงินออกไปต่างประเทศจำนวนเท่าใด กันไว้เป็นเงินสำรองหรือไม่ ดังนั้น ย่อมจำเป็นต้องสืบพยานของจำเลยทั้งสองฝ่ายเพื่อฟังข้อเท็จจริงให้ยุติเสียก่อนจึงจะวินิจฉัยได้ การที่ศาลอุทธรณ์ย้อนสำนวนทั้ง 5 สำนวนที่พิจารณารวมกันไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานของคู่ความแล้วพิพากษาใหม่จึงชอบแล้ว

ย่อยาว

คดีทั้ง ๕ สำนวน ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกันมา โจทก์ทั้ง ๕ สำนวนฟ้องมีใจความว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลในต่างประเทศ ประกอบกิจการธนาคารและมีสาขาในประเทศไทย เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยได้ประเมินให้โจทก์เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยถือว่าการที่สาขาโจทก์ในประเทสไทยจ่ายค่าดอกเบี้ยให้แก่สำนักงานใหญ่หรือสาขาของธนาคารในต่างประเทศ เป็นรายจ่ายต้องห้ามในการคำนวณกำไรสุทธิตามประมวลรัษฎากรมาตรา ๖๕ ตรี (๙) (๑๐) (๑๑) และถือว่าเป็นการจำหน่ายเงินกำไรออกไปต่างประเทศตามมาตรา ๗๐ ทวิ แต่โจทก์เห็นว่ารายจ่ายดังกล่าวเป็นรายจ่ายที่จะนำมาคำนวณกำไรสุทธิได้ จึงฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์
จำเลยให้การทำนองเดียวกันว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามฟ้องชอบแล้ว
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ สั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยทั้ง ๕ สำนวน แล้วพิพากษายกฟ้องทุกสำนวน
โจทก์ทั้ง ๕ สำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นทุกสำนวน ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานของคู่ความแล้วพิพากษาใหม่
จำเลยทุกสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาว่าโจทก์มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานได้หรือไม่นั้น ตามสำนวนปรากฏว่าศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานทั้งสองฝ่าย คดีสำนวนที่สามเมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๑๔ ต่อมาศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานสำนวนแรกและสำนวนที่ท้าตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๑๔ ซึ่งในรายงานกระบวนพิจารณาทั้งสองสำนวนทั้งศาลได้สั่งรวมพิจารณาคดีทั้งห้าสำนวนนี้เข้าด้วยกัน แล้วเลื่อนไปนัดพร้อมทุกสำนวนในวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๑๙ ดังนี้ ย่อมมีเหตุที่จะให้โจทก์ทุกสำนวนเข้าใจได้ว่าศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานทุกสำนวนแล้วตั้งแต่วันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๑๔ อันเป็นวันที่ศาลสั่งงดสืบพยานและรวมพิจารณาคดีทั้งห้าสำนวน โจทก์จึงได้ยื่นคำแถลงโต้แย้ง คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานไว้ในแต่ละสำนวนตั้งแต่ก่อนถึงวันนัดพร้อม ฉะนั้น แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งงดสืบพยานในสำนวนที่สองที่สี่และสั่งรวมพิจารณาคดีทุกสำนวนซ้ำอีกในวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๑๔ และโจทก์มิได้แถลงคัดค้านคำสั่งนั้นอีก ก็ถือได้ว่าโจทก์ทุกสำนวนได้ยื่นคำแถลงโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานไว้แล้ว อย่างไรก็ดีการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยในคดีทั้งห้าสำนวนนี้ โดยเห็นว่าตามคำฟ้อง คำให้การและเอกสารที่คู่ความส่งศาลข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้แล้วไม่จำเป็นต้องสืบพยานฟังข้อเท็จจริงอีกต่อไป แล้วยกข้อเท็จจริงขึ้นวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งห้าสำนวนนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าการที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานและวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔ ซึ่งไม่ถือว่าเป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณาตามมาตรา ๒๒๗ โจทก์จึงมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งให้งดสืบพยานดังกล่าวได้โดยไม่จำเป็นต้องโต้แย้งคำสั่งนั้นไว้
ส่วนฎีกาของจำเลยที่ว่าคดีไม่จำเป็นจะต้องสืบพยานฟังข้อเท็จจริงกันอีกนั้นเห็นว่าประเด็นสำคัญของคดีทุกสำนวนมีว่า เงินที่สาขาธนาคารโจทก์ในกรุงเทพ ฯ จ่ายให้แก่สำนักงานใหญ่หรือสาขาอื่นในต่างประเทศเป็นรายจ่ายที่ต้องห้ามในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๖๕ ตรี (๙) (๑๐) (๑๑) หรือไม่ และเงินดังกล่าวถือว่าเป็นกำไรซึ่งโจทก์จะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากการจำหน่ายเงินกำไรออกไปจากประเทศไทยหรือไม่ ข้อนี้โจทก์กล่าวอ้างว่าเงินดังกล่าวเป็นรายจ่ายเพื่อชดเชยดอกเบี้ยที่สำนักงานใหญ่หรือสาขาอื่นต้องจ่ายให้แก่ลูกค้าผู้ฝากเงิน มิใช่ดอกเบี้ยที่คิดให้สำหรับเงินทุน เงินสำรอง หรือเงินกองทุนของตนเอง เป็นเงินที่ส่งออกไปในลักษณะเงินรายจ่าย ไม่ใช่เงินกำไรหรือเงินที่กันไว้จากกำไร หรือถือได้ว่าเป็นเงินกำไรของสาขาธนาคารโจทก์ในประเทศไทย และเป็นรายจ่ายที่จ่ายไปเพื่อประโยชน์ที่จะทำให้ได้กำไรมาสำหรับดำเนินกิจการของสาขาธนาคารโจทก์ในประเทศไทยโดยเฉพาะไม่ต้องห้ามตามประมวลรัษฎากรมาตรา ๖๕ ตรี (๑๓) (๑๔) จึงให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้ และเงินดังกล่าวไม่ใช่กำไรสุทธิแต่เป็นเงินได้ที่ยังไม่ได้หักค่าใช้จ่าย ฝ่ายจำเลยโต้เถียงว่าการจ่ายเงินดังกล่าวภายในธุรกิจนิติบุคคลเดียวกัน เป็นการจ่ายเงินให้แก่ตนเอง เท่ากับเป็นรายจ่ายที่กำหนดขึ้นเองโดยไม่มีการจ่ายจริง ทั้งถือว่าเป็นดอกเบี้ยที่คิดให้สำหรับเงินทุน เงินสำรอง หรือเงินกองทุนของตนเอง และเป็นค่าตอบแทนแก่ทรัพย์สินซึ่งนิติบุคคลเดียวกันเป็นเจ้าของและใช้เอง ต้องห้ามมิให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิตามประมวลรัษฎากรตามมาตรา ๖๕ ตรี (๙) (๑๐) (๑๑) และถือว่าโจทก์ได้จำหน่ายเงินกำไรออกไปจากประเทศไทยตามมาตรา ๗๐ ทวิ และจำเลยต่อสู้เกี่ยวกับข้อที่โจทก์อ้างว่ามีค่าใช้จ่าย ดังนี้ การที่จะวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวข้างต้นได้ จะต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่คู่ความโต้เถียงกันให้ยุติเสียก่อนว่าเงินที่สาขาธนาคารโจทก์ในกรุงเทพฯ จ่ายไปนั้นเป็นเงินที่จ่ายไปตามที่โจทก์กล่าวอ้างหรือตามที่จำเลยต่อสู้ และมีค่าใช้จ่ายหรือไม่ กับโจทก์จะยกเรื่องค่าใช้จ่ายนำมาฟ้องได้หรือไม่ โดยจำเลยต่อสู้ว่าโจทก์มิได้ยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ซึ่งจำเป็นจะต้องฟังข้อเท็จจริงจากการนำสืบของทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้ยังมีข้อเท็จจริงที่คู่ความยังโต้เถียงกันอยู่ว่า โจทก์สำนวนแรกจำหน่ายเงินกำไรสำหรับรอบระยะบัญชีปี พ.ศ. ๒๕๐๒ ออกไปก่อนหรือหลังมาตรา ๗๐ ทวิใช้บังคับเจ้าพนักงานประเมินคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีเงินได้จากการจำหน่ายเงินกำไรปี พ.ศ. ๒๕๐๕ และ ๒๕๐๖ ของโจทก์ สำนวนที่สองถูกต้องหรือไม่กับประเมินให้ชำระภาษีซ้ำหรือไม่ และโจทก์สำนวนที่สองชำระภาษีเงินได้ปี พ.ศ. ๒๕๐๓ ถึง ๒๕๐๖ รวมเป็นเงิน ๑,๕๔๓,๐๘๔.๕๐ บาท ไปโดยหลงผิด จำเลยที่ ๑ ได้เงินไปโดยไม่มีมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ทำให้โจทก์เสียเปรียบหรือไม่ และคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ โจทก์สำนวนที่ห้าได้จ่ายเงินออกไปจากประเทศไทยปี พ.ศ. ๒๕๐๗ จำนวนเท่าใดได้กันไว้เป็นเงินสำรองหรือไม่ และได้กันเงินที่จำเลยอ้างว่าจำหน่ายออกไปในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ , ๒๕๐๖ และ ๒๕๐๘ ไว้เป็นเงินสำรองจริงหรือไม่ เมื่อคู่ความยังโต้เถียงข้อเท็จจริงกันอยู่เช่นนี้ ย่อมจำเป็นต้องสืบพยานของทั้งสองเพื่อฟังข้อเท็จจริงให้ยุติเสียก่อนจึงจะวินิจฉัยคดีได้ ที่ศาลอุทธรณ์ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานของคู่ความแล้วพิพากษาใหม่ชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share