คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 22631/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองชำระเงินตามสัญญากู้ยืม จำเลยทั้งสองยอมรับว่าทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์ตามฟ้อง แต่ชำระหนี้เป็นรายวันครบถ้วนแล้ว หน้าที่นำสืบจึงตกแก่จำเลยทั้งสอง
การนำสืบถึงการชำระหนี้กู้ยืมด้วยเงินนั้น ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคสอง กำหนดให้ผู้นำสืบต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองนำสืบโดยมีสมุดบันทึกการเก็บเงินเป็นรายวัน ซึ่งมีลายมือชื่อโจทก์มาแสดง แม้สมุดบันทึกดังกล่าวที่ลงลายมือชื่อโจทก์ไม่ได้ระบุว่ารับเงินค่าอะไร แต่ก็มีข้อความระบุจำนวนดอกเบี้ยที่ค้าง ซึ่งบ่งชี้ว่าในเดือนนั้นจำเลยทั้งสองชำระในส่วนที่เป็นต้นเงิน โดยยังค้างดอกเบี้ยไว้ ดังนี้ หลักฐานเป็นหนังสือตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคสอง มิได้เคร่งครัดถึงกับว่าจะต้องมีถ้อยคำว่าใช้หนี้กู้ยืมเงิน เมื่อเอกสารดังกล่าวเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า เจ้าหนี้มาเก็บเงินเป็นรายวัน มีจำนวนเงินที่เรียกเก็บ และเมื่อลูกหนี้ค้างชำระในส่วนดอกเบี้ย ก็มีรายละเอียดว่าค้างดอกเบี้ยเดือนใดบ้าง โดยมีลายมือชื่อเจ้าหนี้ลงในช่องทุกวัน ที่มาเรียกเก็บเงิน ถือว่าสมุดบันทึกดังกล่าวเป็นหลักฐานแห่งการชำระหนี้เงินกู้ตามมาตรา 653 วรรคสอง จำเลยทั้งสองจึงมีสิทธินำสืบการใช้เงินได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 428,750 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 245,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 428,750 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 245,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 30 ตุลาคม 2550) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จกับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความรวม 3,000 บาท
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองชำระเงินตามสัญญากู้ยืม จำเลยทั้งสองรับว่าทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์ตามฟ้อง แต่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์เป็นรายวันครบถ้วนแล้ว หน้าที่นำสืบจึงตกแก่จำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองมีหน้าที่นำสืบการใช้เงินตามที่ได้กล่าวอ้าง และในการนำสืบถึงการชำระหนี้กู้ยืมด้วยเงินนั้นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง กำหนดให้ผู้นำสืบคือจำเลยทั้งสองต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมหรือโจทก์มาแสดง มิฉะนั้นจำเลยทั้งสองจะนำสืบถึงการใช้เงินดังกล่าวไม่ได้ ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองนำสืบโดยมีสมุดบันทึกการเก็บเงินเป็นรายวัน ซึ่งลงลายมือชื่อโจทก์มาแสดง แม้ข้อความในสมุดบันทึกดังกล่าวจะลงรายละเอียดเกี่ยวกับวัน เดือน ปี จำนวนเงิน และลงลายมือชื่อโจทก์ผู้รับเงินโดยไม่ได้ระบุว่าเป็นการรับเงินค่าอะไรก็ตาม แต่ก็มีข้อความในหน้า 26 ระบุว่าในบางเดือนมีการค้างดอกเบี้ยประจำเดือนตามรายละเอียดที่เขียนไว้ ซึ่งบ่งชี้ให้เห็นว่าในเดือนดังกล่าวจำเลยทั้งสองชำระเงินให้โจทก์เฉพาะในส่วนที่เป็นต้นเงินโดยยังค้างดอกเบี้ยไว้ บ่งบอกว่าเป็นหนี้เงินกู้มากกว่าที่เป็นหนี้ค่าสินค้า ดังนี้เห็นว่าหลักฐานเป็นหนังสือตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง มิได้เคร่งครัดถึงกับว่าจะต้องมีถ้อยคำว่าใช้หนี้กู้ยืมเงิน เมื่อเอกสารดังกล่าวเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า เจ้าหนี้มาเก็บเงินจากลูกหนี้เป็นรายวัน โดยมีรายละเอียดของวันที่และจำนวนเงินที่เรียกเก็บ และเมื่อลูกหนี้ค้างชำระในส่วนของดอกเบี้ย ก็มีการระบุรายละเอียดว่าค้างดอกเบี้ยเดือนใดบ้าง ซึ่งรูปแบบและพฤติการณ์ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าเป็นวิธีการเก็บเงินของเจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบ และมีลายมือชื่อเจ้าหนี้ลงวันในช่องทุกวันที่มาเก็บเงิน ถือว่าสมุดบันทึก เป็นหลักฐานแห่งการชำระหนี้เงินกู้ตามมาตรา 653 วรรคสอง จำเลยทั้งสองจึงมีสิทธินำสืบการใช้เงินได้ นอกจากจะมีจำเลยทั้งสองอ้างตนเองเบิกความประกอบแล้วจำเลยทั้งสองยังมีนายอุดม ซึ่งเป็นลูกค้าที่นั่งรับประทานอาหารในร้านของจำเลยบ่อยครั้ง และเห็นโจทก์ซึ่งมีอาชีพปล่อยเงินกู้มาเก็บหนี้เงินกู้รายวันจากจำเลยที่ 1 ทุกครั้ง มาเบิกความสนับสนุนได้อย่างสอดคล้องต้องกัน พยานจำเลยจึงมีน้ำหนักในการรับฟัง ส่วนโจทก์ที่นำสืบว่ารายการชำระเงินในสมุดบันทึก เป็นหลักฐานการชำระค่าสินค้าที่จำเลยที่ 1 สั่งซื้อจากโจทก์ ก็มีแต่เพียงตัวโจทก์เพียงปากเดียวกล่าวอ้างลอย ๆ โดยโจทก์ไม่มีสัญญาซื้อขายสินค้าหรือใบส่งของมาแสดง จึงมีน้ำหนักน้อย พยานหลักฐานของจำเลยทั้งสองมีน้ำหนักในการรับฟังยิ่งกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า หนี้เงินรายวันที่โจทก์เก็บจากจำเลยทั้งสองเป็นหนี้เงินกู้มิใช่หนี้ค่าสินค้า และตามรายการในสมุดบันทึกชำระเงินรายวัน ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้ชำระเงินให้แก่โจทก์เป็นเวลา 2 ปีเศษ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 700,000 บาทเศษ ย่อมแสดงว่าจำเลยทั้งสองได้ชำระหนี้ให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว เป็นผลทำให้หนี้ระงับ แม้จำเลยที่ 1 จะได้เคยไปเจรจาตกลงปรับโครงสร้างหนี้นอกระบบตามรายงานการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคประชาชน ก็ไม่เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์อีกต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้จำเลยทั้งสองยังคงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share