แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ก่อนเกิดเหตุจำเลยรับทองของโจทก์ไปจำหน่ายโดยรับจาก อ.อีกทอดหนึ่งเมื่อขายทองได้แล้วจำเลยจะชำระเงินให้แก่ อ.และอ.จะนำไปชำระให้โจทก์ โดยไม่มีการทำสัญญารับเป็นตัวแทนจำหน่ายต่อมาจำเลยรับทองของโจทก์ไปจำหน่ายโดยตรง แต่ไม่มีการทำสัญญารับเป็นตัวแทนจำหน่ายเช่นเดียวกัน คงทำสัญญาในรูปการให้ยืมทรัพย์เท่านั้น การปฏิบัติระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงไม่ใช่เรื่องตัวการ ตัวแทน หากแม้จะฟังว่าจำเลยยังไม่ได้ชำระเงินค่าทองให้โจทก์ก็เป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานยักยอก.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 วรรคแรก ให้จำคุก 4 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าโจทก์เป็นเจ้าของร้านขายทอง ก่อนเกิดเหตุ จำเลยรับทองของโจทก์ไปจำหน่ายโดยรับจากนางอารมย์ ชัยเฉลิมศักดิ์อีกต่อหนึ่ง เมื่อขายทองได้แล้วจำเลยจะชำระเงินให้แก่นางอารมย์นางอารมย์จะนำมาชำระให้โจทก์อีกต่อหนึ่ง ภายหลังจำเลยได้รับทองจากโจทก์ไปจำหน่ายโดยตรงแล้วไม่นำทองมาคืนหรือชำระเงินค่าทองให้โจทก์ มีปัญหาตามที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยรับทองจากโจทก์ไปจำหน่ายในฐานะตัวแทนโจทก์หรือในฐานะผู้ซื้อไปขายเพื่อหวังกำไรเท่านั้น โจทก์มีพยานคือตัวโจทก์เบิกความยืนยันว่า จำเลยตกลงเป็นตัวแทนจำหน่ายทองของโจทก์โดยมีข้อตกลงกันว่าทองที่จำเลยรับไปแล้วจะขายได้หรือไม่ก็ตาม จำเลยจะต้องนำเงินที่ขายได้หรือทองที่รับไปมาส่งมอบคืนให้โจทก์ภายใน 30 วัน จำเลยจะต้องขายในราคาที่โจทก์กำหนดไว้เท่านั้น จำเลยจะได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินร้อยละ 3 ของราคาที่กำหนดไว้ก่อนที่โจทก์กับจำเลยจะได้ทำสัญญารับเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าตามเอกสารหมาย จ.1 จำเลยเคยรับทองจากโจทก์ไปขาย แต่ได้กระทำสัญญาในรูปของการให้ยืมทรัพย์ นางอารมย์ซึ่งรับทองจากร้านโจทก์ไปขายเช่นเดียวกับจำเลยได้เบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า เดิมจำเลยรับทองจากพยานไปขายซึ่งเป็นทองที่พยานรับมาจากร้านของโจทก์อีกต่อหนึ่ง ต่อมาพยานเห็นว่าวิธีการดังกล่าวทำให้พยานต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับทองที่จำเลยรับไปจากพยาน พยานจึงพาจำเลยไปรับทองจากโจทก์โดยตรง ดังนี้ จะเห็นได้ว่าก่อนเกิดเหตุ จำเลยเคยรับทองไปจากโจทก์ โดยไม่มีการทำสัญญารับเป็นตัวแทนจำหน่าย แต่ได้ทำสัญญาในรูปการให้ยืมทรัพย์ และการที่จำเลยรับทองจากนางอารมย์ไปขายก็ไม่มีการทำสัญญารับเป็นตัวแทนจำหน่ายแต่อย่างใดและหลังจากจำเลยทำสัญญารับเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของโจทก์ในคดีนี้แล้ว โจทก์เบิกความรับว่าจำเลยยังได้รับทองจากโจทก์ไปจำหน่ายอีกหลายครั้ง แต่ไม่ปรากฏว่ามีหนังสือสัญญารับเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของโจทก์เช่นเดียวกับเอกสารหมาย จ.1 แต่อย่างใดคงมีเฉพาะวันที่ 20 สิงหาคม 2531 เท่านั้น เอกสารหมาย ล.1นางอารมย์ พยานโจทก์เบิกความรับว่าเป็นเอกสารเกี่ยวกับการทำการค้าทองระหว่างพยานกับจำเลย พยานเป็นผู้เขียนรายการต่าง ๆ ในเอกสารแสดงว่าจำเลยได้รับทองจากนางอารมย์จริง ซึ่งเอกสารดังกล่าวได้ระบุวันที่รับของไว้ด้วย ปรากฏว่าหลังจากวันที่ 20 สิงหาคม 2531แล้วยังมีรายการที่จำเลยรับของไปอีกและมีข้อความว่ามีการชำระกันเป็นงวด ๆ ซึ่งตรงกับที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยได้ซื้อทองจากโจทก์โดยวิธีผ่อนส่ง โดยโจทก์จะทำหลักฐานการผ่อนชำระเงินเป็น 2ฉบับ โจทก์เป็นผู้เก็บไว้ 1 ฉบับ จำเลยเก็บไว้ 1 ฉบับตามเอกสารหมาย ล.1 แต่โจทก์ให้จำเลยลงชื่อในสัญญารับเป็นตัวแทนไว้ตามเอกสารหมาย จ.1 โดยจำเลยมิได้เป็นตัวแทนของโจทก์ การปฏิบัติระหว่างโจทก์จำเลยดังนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องตัวการตัวแทน หากแม้จะฟังว่าจำเลยยังไม่ได้ชำระเงินค่าทองให้โจทก์ ก็เป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้น ทั้งโจทก์ก็นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยได้เบียดบังทรัพย์ไว้โดยทุจริตแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามที่โจทก์ฎีกา…”
พิพากษายืน.