แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องโดยประกาศทางหนังสือพิมพ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 วรรคสอง จะมีผลใช้ได้ต่อเมื่อกำหนดเวลาสิบห้าวันหรือระยะเวลานานกว่านั้นตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดได้ล่วงพ้นไปแล้วนับแต่เวลาที่ลงประกาศในหนังสือพิมพ์ หนังสือพิมพ์ลงประกาศตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2536ให้จำเลยทราบแทนการส่งหมายโดยศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยยื่นคำให้การภายในวันที่ 23 เมษายน 2536 นับแต่วันลงประกาศหนังสือพิมพ์มีผลใช้ได้ต่อเมื่อกำหนดเวลาสิบห้าวันได้ล่วงพ้นไปแล้ว คือวันที่ 6 เมษายน 2536 และให้จำเลยยื่นคำให้การภายใน 15 วันคือภายในวันที่ 21 เมษายน 2536 เมื่อศาลชั้นต้นกำหนดให้ยื่นคำให้การภายในวันที่ 23 เมษายน 2536 จึงเป็นการกำหนดเวลาสิบห้าวันได้ล่วงพ้นไปแล้ว และกำหนดระยะเวลาอีกสิบห้าวันที่ให้จำเลยยื่นคำให้การรวมเข้าไปด้วยแล้ว จึงถือว่าการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องโดยประกาศทางหนังสือพิมพ์มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายเมื่อจำเลยมิได้ยื่นคำให้การภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ ทั้งมิได้แจ้งเหตุขัดข้องต่อศาล จึงถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์ต้องมีคำขอต่อศาลภายใน 15 วัน นับแต่ระยะเวลาที่กำหนดให้จำเลยยื่นคำให้การได้สิ้นสุดลง เพื่อให้ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ เมื่อโจทก์ไม่ยื่นคำขอต่อศาลภายในกำหนด ศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 198 วรรคสอง
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย มีบุตรซึ่งยังเป็นผู้เยาว์อยู่ด้วยกัน 3 คนจำเลยไม่ให้ความอุปการะเลี้ยงดูโจทก์และบุตรทั้งสาม อีกทั้งได้ทิ้งร้างโจทก์ไปเกินกว่า 1 ปี โจทก์ไม่ประสงค์จะอยู่กินเป็นสามีภริยากับจำเลยอีกต่อไป ขอให้บังคับจำเลยหย่าขาดจากโจทก์ให้บุตรทั้งสามอยู่ในความปกครองของโจทก์ และให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูโจทก์และบุตรทั้งสาม
เนื่องจากการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง ณ ภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานของจำเลยไม่อาจกระทำได้ ศาลชั้นต้นจึงประกาศทางหนังสือพิมพ์ตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2536 มีกำหนด 7 วันให้จำเลยทราบแทนการส่งหมายว่า ศาลกำหนดให้จำเลยยื่นคำให้การแก้คดีภายในวันที่ 23 เมษายน 2536 และนัดสืบพยานโจทก์วันที่13 พฤษภาคม 2536 เวลา 13.30 นาฬิกา
ต่อมาวันที่ 13 พฤษภาคม 2536 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยไม่ยื่นคำให้การภายในเวลาที่ประกาศ และโจทก์ก็มิได้ยื่นคำขอให้ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดจึงให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 198 วรรคสอง
โจทก์ยื่นคำร้องลงวันที่ 18 พฤษภาคม 2536 ขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกันว่าไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องโดยประกาศทางหนังสือพิมพ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 79 วรรคสอง จะมีผลใช้ได้ต่อเมื่อกำหนดเวลาสิบห้าวันหรือระยะเวลานานกว่านั้นตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดได้ล่วงพ้นไปแล้วนับตั้งแต่เวลาที่ลงประกาศในหนังสือพิมพ์ ข้อเท็จจริงได้ความว่าหนังสือพิมพ์ลงประกาศตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2536 ให้จำเลยทราบแทนการส่งหมาย โดยศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยยื่นคำให้การแก้คดีภายในวันที่ 23 เมษายน 2536 จะเห็นได้ว่า นับตั้งแต่เวลาที่ลงประกาศหนังสือพิมพ์ คือ วันที่ 22 มีนาคม 2536 ซึ่งตามมาตรา 79 วรรคสองให้มีผลใช้ได้ต่อเมื่อกำหนดเวลาสิบห้าวันได้ล่วงพ้นไปแล้ว คือวันที่ 6 เมษายน 2536 และให้จำเลยยื่นคำให้การภายใน 15 วันคือภายในวันที่ 21 เมษายน 2536 การที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยยื่นคำให้การภายในวันที่ 23 เมษายน 2536 นั้น ย่อมแสดงให้เห็นว่าศาลชั้นต้นได้กำหนดเวลาสิบห้าวันได้ล่วงพ้นไปแล้วตามมาตรา 79วรรคสอง และกำหนดระยะเวลาอีกสิบห้าวันที่ให้จำเลยยื่นคำให้การรวมเข้าไปด้วยแล้ว จึงถือว่าการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยโดยประกาศทางหนังสือพิมพ์มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย จำเลยต้องยื่นคำให้การภายในกำหนดตามประกาศ คือ ภายในวันที่ 23 เมษายน 2536เมื่อจำเลยมิได้ยื่นคำให้การภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ ทั้งมิได้แจ้งเหตุขัดข้องต่อศาลภายในกำหนดเวลาเช่นว่านั้น จึงถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การตามมาตรา 197 วรรคแรก โจทก์ต้องมีคำขอต่อศาลภายในสิบห้าวันนับแต่ระยะเวลาที่กำหนดให้จำเลยยื่นคำให้การได้สิ้นสุดลงเพื่อให้ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ โดยนับแต่วันที่ 23 เมษายน 2536 ครบกำหนดสิบห้าวัน คือ วันที่ 8พฤษภาคม 2536 เมื่อโจทก์ไม่ยื่นคำขอต่อศาลภายในกำหนดเวลาดังกล่าวการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีโจทก์ออกจากสารบบความตามมาตรา 198 วรรคสอง เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2536 จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
พิพากษายืน