แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การสมรสจะทำได้ต่อเมื่อชายและหญิงยินยอมเป็นสามีภริยากัน โดยทั้งสองคนตกลงจะเป็นบุคคลในครอบครัวเดียวกัน ต้องอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาทั้งในทางธรรมชาติและกฎหมาย ได้ดูแลความทุกข์สุข เจ็บป่วยซึ่งกันและกันต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกันตามความสามารถและฐานะของตน การที่จำเลยจดทะเบียนสมรสกับ ช. แต่ไม่ได้พักอาศัยอยู่ด้วยกัน เมื่อ ช. ป่วย โจทก์เป็นผู้พา ช. ไปโรงพยาบาลและเสียค่ารักษาพยาบาลให้ และยังให้ ช. ไปพักอาศัยอยู่ด้วย ส่วนจำเลยยังคงพักอาศัยอยู่กับน้องสาวและไม่เคยออกค่ารักษาพยาบาลทั้งไม่เคยมาเยี่ยมเยียน ช. เลย เห็นได้ชัดว่าจำเลยกับ ช. มิได้อยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาแต่อย่างใด จำเลยเองก็ยังรับว่าไม่อยากไปจดทะเบียนสมรส แต่ ช. เป็นผู้พาไปโดยบอกว่าถ้าไม่จดทะเบียนสมรสแล้วจะไม่มีผู้ใดมีสิทธิรับเงินบำเหน็จตกทอด ซึ่งก็ปรากฏว่าเมื่อ ช. ถึงแก่กรรมจำเลยเป็นผู้ได้รับเงินบำเหน็จตกทอดมาจริง แสดงว่าจำเลยจดทะเบียนสมรสกับ ช. โดยมิได้มีเจตนาที่จะเป็นสามีภริยากันมาแต่แรก หากแต่เป็นการกระทำเพื่อให้มีสิทธิรับเงินบำเหน็จตกทอดเท่านั้น การสมรสของจำเลยจึงฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1458 ตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1495
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้สืบสันดานหรือทายาทโดยธรรมของเรือเอกเชิดชายศรีงามผ่อง กับนางทองอยู่ ศรีงามผ่อง จำเลยจดทะเบียนสมรสกับเรือเอกเชิดชาย แต่การจดทะเบียนสมรสดังกล่าวเป็นการแสดงเจตนากันหลอก ๆ เพื่อจำเลยหวังผลประโยชน์อันเป็นบำเหน็จตกทอดของเรือเอกเชิดชาย ซึ่งเป็นข้าราชการบำนาญกองทัพเรือเมื่อเรือเอกเชิดชายถึงแก่กรรม และขณะจดทะเบียนสมรส เรือเอกเชิดชายป่วยเป็นโรคมะเร็งที่ไม่มีทางรักษาให้หายได้ จำเลยเกรงว่าสิทธิในบำเหน็จตกทอดยุติลง จำเลยจึงร้องขอให้เรือเอกเชิดชายจดทะเบียนสมรสกับตน หลังจากนั้นอีก 38 วัน เรือเอกเชิดชายก็ถึงแก่กรรม จำเลยจึงอาศัยสิทธิตามทะเบียนสมรสดังกล่าวยื่นแสดงความจำนงต่อกองทัพเรือเพื่อขอรับบำเหน็จตกทอดของเรือเอกเชิดชายและกองทัพเรือได้จ่ายบำเหน็จตกทอดให้แก่จำเลยไปแล้ว ขอให้พิพากษาว่าการจดทะเบียนสมรสระหว่างจำเลยกับเรือเอกเชิดชาย ศรีงามผ่อง เป็นโมฆะ และขอให้แจ้งไปยังนายทะเบียนเพื่อบันทึกความเป็นโมฆะไว้ในทะเบียนสมรสด้วย
จำเลยให้การว่า จำเลยจดทะเบียนสมรสกับเรือเอกเชิดชาย มิใช่เฉพาะแต่บำเหน็จตกทอดแต่รวมถึงสิทธิในการที่จะรับมรดกด้วย จำเลยไม่ทราบเรื่องเรือเอกเชิดชายป่วยด้วยโรคมะเร็ง เพราะเรือเอกเชิดชายปิดบังไว้ตลอดเวลา แต่เพราะความห่วงใยของเรือเอกเชิดชายว่า จำเลยจะไม่ได้รับสิทธิอย่างใด ๆ ตามกฎหมายจึงจำต้องจดทะเบียนให้ เมื่อเรือเอกเชิดชายถึงแก่กรรม คงมีโจทก์ จ่าสิบเอกคำรพ ศรีงามผ่อง และจำเลยเป็นทายาทโดยธรรม โจทก์ได้รับมรดกครบถ้วนและจำเลยฟ้องเรียกทรัพย์มรดกจากผู้จัดการมรดกมิได้ฟ้องเรียกเอาส่วนของโจทก์ที่ได้รับไปแล้ว จำเลยจึงมิได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ก็คือ การสมรสระหว่างจำเลยกับเรือเอกเชิดชาย ศรีงามผ่อง เป็นโมฆะหรือไม่ จากการนำสืบของทั้งสองฝ่าย ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติได้ว่า จำเลยได้จดทะเบียนสมรสกับเรือเอกเชิดชายเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2537 ปรากฏตามใบสำคัญการสมรสเอกสารหมาย จ.6 ซึ่งการสมรสนั้นจะทำได้ต่อเมื่อจำเลยกับเรือเอกเชิดชายยินยอมเป็นสามีภริยากัน และการเป็นสามีภริยากันนั้นก็คือทั้งสองคนตกลงจะเป็นบุคคลในครอบครัวเดียวกัน จึงจำต้องอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาทั้งในทางธรรมชาติและกฎหมาย นั่นก็คือจะได้ดูแลความทุกข์สุขเจ็บป่วยซึ่งกันและกัน ต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกันตามความสามารถและฐานะของตน จำเลยเบิกความว่าได้อยู่กินฉันสามีภริยากับเรือเอกเชิดชายก่อนจดทะเบียนสมรสนานประมาณ 5 ปี แต่ในขณะเดียวกันจำเลยกลับเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่าจำเลยพักอาศัยอยู่ที่บ้านของน้องสาวจำเลยมาตั้งแต่ปี 2526 ส่วนเรือเอกเชิดชายนั้นก็พักอาศัยอยู่บ้านของเรือเอกเชิดชาย ซึ่งจำเลยเคยไปที่บ้านของเรือเอกเชิดชายหลายครั้งแต่ไม่ได้พักอาศัยอยู่ด้วยแต่อย่างใด ในปี 2534 ถึง 2535 เรือเอกเชิดชายต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล โจทก์เป็นผู้พาเรือเอกเชิดชายไปโรงพยาบาลและเสียค่ารักษาพยาบาลให้ และยังให้เรือเอกเชิดชายไปพักอาศัยอยู่ด้วย ส่วนจำเลยคงพักอาศัยอยู่กับน้องสาวเช่นเดิม จากข้อเท็จจริงดังกล่าวเมื่อนำมาวินิจฉัยเข้ากับคำเบิกความของโจทก์ที่ว่านางทองอยู่มารดาของโจทก์ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2530 ต่อมาปลายปี2535 เรือเอกเชิดชายป่วย โจทก์ได้พาไปรักษาที่โรงพยาบาลแล้วนำตัวมาพักอาศัยอยู่ที่บ้านของโจทก์ เนื่องจากเห็นว่าไม่สมควรที่จะให้เรือเอกเชิดชายอยู่บ้านเพียงลำพังคนเดียว จนกระทั่งวันที่ 15 สิงหาคม 2537 เรือเอกเชิดชายก็ถึงแก่กรรม ได้ความจากโจทก์ต่อไปว่าไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่า เรือเอกเชิดชายได้จดทะเบียนสมรสกับจำเลยไม่เคยรู้จักกับจำเลยมาก่อน จำเลยไม่เคยออกค่ารักษาพยาบาลและไม่เคยมาเยี่ยมเรือเอกเชิดชาย รูปคดีเห็นได้ว่าจำเลยกับเรือเอกเชิดชายมิได้อยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังได้ความจากคำเบิกความของจำเลยอีกว่า จำเลยยังไม่อยากไปจดทะเบียนสมรสจนกระทั่งในตอนหลังเรือเอกเชิดชายเป็นผู้พาไปจดทะเบียนสมรสเองโดยเรือเอกเชิดชายบอกว่าหากจำเลยไม่จดทะเบียนสมรสกับเรือเอกเชิดชายแล้วจะไม่มีผู้ใดมีสิทธิรับเงินบำเหน็จตกทอด เมื่อเรือเอกเชิดชายถึงแก่กรรม ซึ่งจำเลยก็ได้ไปรับเงินบำเหน็จตกทอดมาแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้เห็นได้ว่าจำเลยจดทะเบียนสมรสกับเรือเอกเชิดชายโดยมิได้มีเจตนาที่จะเป็นสามีภริยากันมาตั้งแต่แรก หากแต่เป็นการกระทำเพื่อวัตถุประสงค์อื่นนั่นก็คือการมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จตกทอดดังกล่าวนั่นเอง การสมรสของจำเลยจึงฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1458 จึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1495 คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับว่า การสมรสระหว่างจำเลยกับเรือเอกเชิดชาย ศรีงามผ่อง เป็นโมฆะให้แจ้งไปยังนายทะเบียนเพื่อบันทึกความเป็นโมฆะไว้ในทะเบียนสมรส