แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธิพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสี่ หมายถึง ผู้ยื่นคำขอจะยื่นคำร้องขอต่อศาลให้พิจารณาคำขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถานั้นใหม่ได้ เฉพาะกรณีที่ผู้ยื่นคำขอได้นำพยานหลักฐานมาสืบตามคำขอฉบับเดิมไว้บ้างแล้ว แต่พยานหลักฐานของผู้ยื่นคำขอที่นำสืบไว้แล้ว ยังไม่เพียงพอให้รับฟังว่าเป็นคนยากจน กฎหมายจึงเปิดช่องให้ผู้ยื่นคำขอร้องต่อศาลให้พิจารณาคำขอนั้นใหม่เพื่ออนุญาตให้ตนนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าตนเป็นคนยากจนได้อีก
คดีนี้ จำเลยยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาคตในชั้นอุทธรณ์ แต่ปรากฏว่าไม่มีการสืบพยานจำเลยแม้แต่ปากเดียว จนศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสี่ จำเลยจะมายื่นคำร้องขออนุญาตให้จำเลยนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าตนเป็นคนยากจนอีกไม่ได้
คำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา คำร้องอุทธรณ์คำสั่ง หรือฎีกาคำสั่งตลอดจนการดำเนินกระบวนพิจารณาในชั้นไต่สวนอนาถานี้ ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 149 วรรคท้าย
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาทของโจทก์ โดยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ในที่ดินพิพาทนับแต่มีคำพิพากษาเป็นต้นไป และให้จำเลยปรับปรุงที่ดินพิพาทให้อยู่ในสภาพเดิมก่อนการเช่า หากไม่ปฏิบัติตามให้ใช้ค่าเสียหาย ๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้ใช้ค่าเสียหายเดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากที่ดินพิพาทและทำที่ดินพิพาทให้อยู่ในสภาพเดิมก่อนการเช่า กับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๓๐,๐๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์ พร้อมกับยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๔๐ ขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ ในวันนัดไต่สวนคำร้อง ในวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๔๑ ปรากฏว่า จำเลยไม่มาศาล ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยขอเลื่อนคดีติดต่อกันมาแล้วถึง ๓ ครั้ง และในนัดนี้จำเลยทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องหรือร้องขอเลื่อนคดี ถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบให้รับฟังได้ตามคำร้อง จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้องของจำเลย หากจำเลยประสงค์จะดำเนินคดีต่อไปก็ให้จำเลยนำค่าธรรมเนียมมาชำระภายใน ๑๕ วัน
จำเลยยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๔๑ ขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องขอให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของจำเลยต่อไป
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ฉบับลงวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๔๐ ของจำเลยไปแล้ว และไม่มีกฎหมยบัญญัติให้จำเลยร้องขอพิจารณาคำขอนั้นใหม่โดยอ้างเหตุไม่จงใจมาศาล หากจำเลยประสงค์ขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา จำเลยชอบที่จะยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างอนาถาใหม่ได้ ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
ต่อมาจำเลยได้ยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๔๑ ขอให้พิจารณาคำขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์นั้นใหม่อีก
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วินิจฉัยว่า กรณียังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นคนยากจนและไม่สามารถเสียค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์ได้ จึงให้ยกคำร้อง และให้จำเลยนำค่าธรรมเนียมมาชำระภายใน ๓๐ วัน
จำเลยยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๔๓ ขอให้ศาลไต่สวน และพิจารณาคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ใหม่
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับคำร้องของจำเลยไว้ดำเนินการไต่สวน ระหว่างไต่สวนศาลชั้นต้นตรวจสำนวนแล้ว เห็นว่า การยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของจำเลยครั้งนี้เป็นการยื่นครั้งที่ ๓ จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำร้องของจำเลยฉบับลงวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๔๓ ไว้ไต่สวนเป็นการสั่งโดยผิดหลง จึงให้เพิกถอนคำสั่งรับคำร้องและนัดไต่สวนคำร้องดังกล่าว ค่าคำร้องให้เป็นพับ (ที่ถูกต้องระบุว่ามีคำสั่งใหม่ให้ยกคำร้องฉบับลงวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๔๓ มาด้วย) หากจำเลยประสงค์ที่จะดำเนินคดีต่อไปก็ให้คำน่าธรรมเนียมมาวางศาลภายในกำหนด ๑๕ วัน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ วินิจฉัยว่า คดีนี้มีจำเลยยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๔๐ แต่จำเลยไม่นำพยานมาไต่สวน ๓ ครั้งติดต่อกัน ศาลชั้นต้นถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบและให้ยกคำร้อง ต่อมาวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๔๑ จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตนำพยานแสดงเพิ่มเติมว่าเป็นคนยากจน ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วยกคำร้อง เห็นว่า การยื่นคำร้องขอต่อศาลให้พิจารณาคำขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่ ต้องเป็นเรื่องที่จำเลยนำพยานมาสืบบ้างแล้ว แต่คดีนี้ไม่มีการสืบพยาน กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา ๑๕๖ วรรคสี่ ที่ศาลชั้นต้นรับคำร้อง ฉบับลงวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๔๑ ของจำเลยไว้ไต่สวนจึงไม่ถูกต้อง จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเสีย ดังนั้น การที่จำเลยยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๔๓ ขออนุญาตนำพยานแสดงเพิ่มเติมจึงเป็นการไม่ชอบ ให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ หากจำเลยประสงค์จะอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ให้นำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลภายในกำหนด ๑๕ วัน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่าคำร้องฉบับลงวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๔๑ ของจำเลย เป็นคำร้องขอต่อศาลให้พิจารณาคำร้องฉบับลงวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๔๐ ใหม่ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๕๖ วรรคสี่ หรือไม่ ศาลฎีกาได้พิจารณาคำร้องฉบับลงวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๔๑ ของจำเลยแล้ว เห็นว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องฉบับลงวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๔๐ ของจำเลยโดยไม่มีการไต่สวน ทำให้จำเลยไม่ได้เสนอพยานหลักฐานเกี่ยวกับความยากจนของจำเลยต่อศาล ขอให้ศาลอนุญาตให้จำเลยนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติม และให้มีการพิจารณาคำร้องฉบับวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๔๐ ของจำเลยใหม่ จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่าจำเลยประสงค์จะใช้สิทธิขอสืบพยานเพิ่มเติมว่าตนเป็นคนยากจนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๕๖ วรรคสี่ มิใช่กรณีที่จำเลยตกเป็นคนยากจนลงภายหลังและจำเลยยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างอนาถาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๕๖ วรรคหนึ่ง ตอนท้าย คดีจึงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า คำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๕๖ วรรคสี่ เป็นเรื่องที่ต้องมีการสืบพยานมาบ้างแล้วหรือไม่เห็นว่า ผู้ยื่นคำขอจะยื่นคำร้องขอต่อศาลให้พิจารณาคำขอนั้นใหม่ได้เฉพาะกรณีผู้ยื่นคำขอได้นำพยานหลักฐานมาสืบตามคำขอฉบับเดิมไว้บ้างแล้ว แต่พยานหลักฐานของผู้ยื่นคำขอที่นำสืบไว้แล้ว ยังไม่เพียงพอให้รับฟังว่าเป็นคนยากจน กฎหมายจึงเปิดช่องให้ผู้ยื่นคำขอร้องขอต่อศาลให้พิจารณาคำขอนั้นใหม่เพื่ออนุญาตให้ตนนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าตนเป็นคนยากจนได้อีก เมื่อข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่า ไม่มีการสืบพยานจำเลยเลยแม้แต่ปากเดียว กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๕๖ วรรคสี่ การดำเนินกระบวนพิจารณาของจำเลยจึงไม่ถูกต้อง เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าศาลชั้นต้นยกคำร้องฉบับลงวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๔๑ ของจำเลยแล้ว จำเลยก็จะมายื่นคำร้องขอให้ศาลพิจารณาคำร้องฉบับลงวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๔๑ ใหม่ อีกไม่ได้เพราะเป็นคำร้องที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย จึงชอบที่ศาลชั้นต้นจะต้องยกคำร้องฉบับลงวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๔๓ ของจำเลยดังกล่าวเสียโดยไม่จำต้องรับคำร้องดังกล่าวของจำเลยไว้ไต่สวนอีกต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ มีคำสั่งให้เพิกพอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่รับคำต้องฉบับลงวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๔๑ ของจำเลยโดยวินิจฉัยว่าเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบและวินิจฉัยว่าการยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๔๓ เป็นการไม่ชอบแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย ซึ่งมีผลเท่ากับเป็นการมีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย ซึ่งมีผลเท่ากับเป็นการมีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องฉบับลงวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๔๓ ของจำเลยนั้น ศาลฎีกาคงเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง คำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา คำร้องอุทธรณ์คำสั่งหรือฎีกาคำสั่งตลอดจนการดำเนินกระบวนพิจารณาในชั้นไต่สวนอนาถานี้ ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๙ วรรคท้าย ที่จำเลยเสียค่าคำร้อง ค่าคำขอ ค่าอ้างเอกสารในส่วนที่เกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณาในชั้นไต่สวนอนาถานี้ โดยที่ศาลชั้นต้นมิได้สั่งคืนให้แก่จำเลย รวมทั้งที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์สั่งให้ค่าคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาและค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ที่จำเลยเสียมาให้เป็นพับแก่จำเลยนั้นยังไม่ถูกต้อง เห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง และเห็นสมควรคืนค่าขึ้นชั้นฎีกาที่จำเลยเสียมาให้แก่จำเลยเสียด้วย
พิพากษายืน แต่ให้คืนเฉพาะค่าธรรมเนียมศาลในชั้นขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาทั้งสามศาลให้แก่จำเลย ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกนั้นให้เป็นพับ หากจำเลยประสงค์จะอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นต่อไป ก็ให้นำค่าธรรมเนียมศาลที่จะต้องชำระในชั้นอุทธรณ์นี้มาวางต่อศาลชั้นต้นภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกานี้