แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
กู้เงินกันแล้วตกลงกันภายหลังให้เจ้าหนี้ไปเก็บดอกเบี้ยนั้นคู่ความนำพยานบุคคลมาสืบได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับให้จำเลยใช้ต้นเงินและดอกเบี้ยจำเลยให้การต่อสู้ว่า กรณีเดิมเป็นเรื่องโจทก์จำเลยเข้าหุ้นกันซื้อโรงสี จำเลยมีเงินไม่พอ เพื่อให้ออกเงินเท่า ๆ กัน โจทก์จึงให้จำเลยทำสัญญากู้และให้จำเลยเช่าโรงสี ตกลงชำระค่าเช่าและดอกเบี้ยกัน 3 เดือนต่อครั้งโดยมีข้อสัญญากันปากเปล่าว่าโจทก์จะเป็นผู้ไปเก็บเอง แต่โจทก์ไม่ไปเก็บ จำเลยไม่เคยผิดนัดชำระค่าเช่าและดอกเบี้ยแก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า ตามหนังสือสัญญาเช่าและสัญญากู้เงินจำเลยยังเถียงอยู่ว่า ได้มีสัญญาปากเปล่าว่า โจทก์จะเป็นผู้ไปเก็บค่าเช่าและดอกเบี้ยเอง แต่โจทก์ไม่ไป ฝ่ายโจทก์ว่าไปเก็บแล้วไม่ได้ จึงควรฟังพยานโจทก์จำเลยในประเด็นข้อนี้ ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาพิพากษาใหม่
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาตัดสินว่า ตั้งแต่วันทำสัญญาถึงวันฟ้องเป็นเวลาเพียง 3 เดือนเศษ ส่วนข้อที่ว่าชำระดอกเบี้ย 3 เดือน ต่อครั้งนั้น ฝ่ายจำเลยว่า ได้สัญญากันปากเปล่าว่าครบ 3 เดือน โจทก์จะไปเก็บเอง ทั้งสองฝ่ายขอสืบพยานการขอสืบนั้นมิใช่เป็นการสืบเพิ่มเติมหรือตัดทอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร เป็นเรื่องสืบถึงการปฏิบัติซึ่งตกลงกันภายหลัง จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์