คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 137/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาประนีประนอมยอมความมีข้อความว่า จำเลยยอมตกลงชำระหนี้11,901.29 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ภายในเวลาที่กำหนไว้ ถ้าผิดนัดยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันทีรวมทั้งบังคับเงินจำนวนดังกล่าวได้ด้วย และตามสัญญาประนีประนอมยอมความก็มิได้กล่าวไว้ว่า โจทก์จะบังคับเอาชำระหนี้ได้แต่เฉพาะทรัพย์สินที่ได้จำนองกันไว้ ดังนั้นโจทก์จึงชอบที่จะบังคับเอาชำระหนี้ตามคำพิพากษาจากทรัพย์ใดๆ ของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
การที่โจทก์เจ้าหนี้ฟ้องบังคับจำนองจำเลยลูกหนี้ที่ยอมรับผิดชดใช้เงินกู้จนครบ ต่อมาเจ้าหนี้ลูกหนี้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยลูกหนี้ยอมชำระเงินให้เจ้าหนี้ 311,901.29 บาทพร้อมดอกเบี้ย และศาลพิพากษาตามยอม ก็หมายความได้แต่เพียงว่า ยังไม่ขอบังคับตามสัญญาจำนองเท่านั้น มิใช่เป็นการปลดจำนองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 744(2) ฉะนั้น เมื่อลูกหนี้ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ มีการบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์ที่จำนองไม่พอชำระหนี้ เจ้าหนี้ย่อมบังคับเอาจากทรัพย์อื่นนอกเหนือจากที่จำนองไว้ได้ หาได้หมายความหรือเป็นการยกเลิกลบล้างข้อเรียกร้องตามคำขอท้ายฟ้องให้หมดไปและโจทก์จะบังคับชำระหนี้ได้แต่เพียงทรัพย์ที่จำนองเท่านั้นไม่

ย่อยาว

คดีนี้ จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่า โจทก์จำเลยได้ตกลงและศาลได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความมีใจความในข้อ 2 ว่า โจทก์ตกลงตามข้อ 1 และไม่ติดใจเรียกร้องอะไรจากจำเลยต่อไป และโจทก์ไม่มีสิทธิยึดทรัพย์อย่างอื่นนอกเหนือไปจากทรัพย์ที่จำนองดังบัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 733 แต่โจทก์ยื่นคำร้องให้ยึดทรัพย์อย่างอื่นนอกเหนือไปจากทรัพย์จำนอง จึงขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และสัญญาประนีประนอมยอมความ เอกสารที่ทำไว้ก่อนสัญญายอมความเป็นโมฆะและลบล้างโดยสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นไปแล้ว ขอให้ศาลเรียกโจทก์มาบังคับให้ปฏิบัติไปตามนั้นโดยถอนการยึดหรืออายัดทรัพย์อื่นของผู้ค้ำประกันเสีย

โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความระบุให้จำเลยชำระเงิน 311,901.29 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 12 ต่อปีในจำนวนเงินต้นดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง และค่าธรรมเนียมที่ศาลสั่งไม่คืนแก่โจทก์ภายในเวลาที่กำหนดไว้ ถ้าจำเลยผิดนัด ให้โจทก์บังคับคดีทันที รวมทั้งเงินจำนวน 311,901.29 บาทด้วย เมื่อจำเลยผิดสัญญาไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความและทรัพย์ของจำเลยที่โจทก์ยึดมาขายทอดตลาดได้เงินไม่พอชำระหนี้ดังกล่าว โจทก์ชอบที่จะบังคับเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามได้จนกว่าจะได้รับชำระหนี้เต็มจำนวน นอกจากนี้จำเลยทั้งสามมิได้ต่อสู้ถึงทรัพย์จำนองและการบังคับเอาแก่ทรัพย์จำนองตามที่โจทก์ฟ้องไว้ว่า ถ้ามีการบังคับเอาแก่ทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดได้เงินน้อยกว่าจำนวนหนี้ที่จำเลยค้างชำระอยู่เท่าใด ผู้จำนองยอมรับผิดชดใช้ให้จนครบถ้วนตามสัญญาจำนอง สัญญาดังกล่าวมีผลบังคับใช้ได้อยู่ ไม่ตกเป็นโมฆะโจทก์จึงมีสิทธิยึดทรัพย์ของจำเลยต่อไปจนกว่าจะได้รับชำระหนี้เต็มจำนวน ขอให้ยกคำร้องจำเลยที่ 1

วันรุ่งขึ้นจากที่ศาลสั่งดังกล่าว จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องว่าโจทก์กำลังขอเบิกเงิน 2,464.70 บาทของจำเลยที่ 2 ไปจากศาล เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 733 และสัญญาประนีประนอมยอมความ ขอให้ศาลสั่งระงับการจ่ายเงินแก่โจทก์และสั่งจ่ายแก่จำเลย และขอให้สั่งโจทก์ถอนการยึดโฉนดที่ 795 แล้วเก็บไว้ที่ศาล ศาลชั้นต้นสอบจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 แถลงว่าโฉนดที่ 795 เป็นของนายวินัย ลิมปานนท์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 2 จะอ้างว่าได้ยึดโฉนดที่ 795 เป็นราคาเกินหนี้ไม่ได้ให้ยกคำร้องของจำเลยที่ 2

จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า คดีนี้เนื่องจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามให้ร่วมกันชำระเงิน 311,901.29 บาทพร้อมดอกเบี้ย โดยจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไปจากโจทก์ จำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ได้เข้าทำสัญญาค้ำประกันไว้ จำเลยที่ 3 ได้นำที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมาจำนองเป็นประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ไว้ด้วยถ้าจำเลยทั้งสามไม่ชำระเงินกับดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ก็ให้เอาทรัพย์ที่จำนองออกขายทอดตลาด ได้เงินน้อยกว่าจำนวนหนี้ที่จำเลยค้างชำระขาดอยู่เท่าไร จำเลยยอมรับผิดชดใช้ให้จนครบ ต่อมาโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลพิพากษาตามยอม ดังนี้

ข้อ 1 จำเลยยอมตกลงชำระหนี้จำนวน 311,901.29 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 12 ต่อปี ในจำนวนเงินต้นดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง และค่าธรรมเนียมที่ศาลสั่งไม่คืนให้โจทก์ภายใน 1 ปี นับแต่วันยอมโดยจำเลยจะส่งดอกเบี้ยให้โจทก์เป็นรายเดือน ถ้าจำเลยผิดนัดเรื่องดอกเบี้ยเกิน 6 เดือนขึ้นไป ให้ถือว่าผิดนัดทั้งหมด และให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที รวมทั้งบังคับเงิน 311,901.29 บาทได้ด้วย

ข้อ 2. โจทก์ตกลงตามข้อ 1 และไม่ติดใจเรียกร้องอะไรจากจำเลยต่อไป

ข้อ 3. ให้ค่าทนายเป็นพับทั้งสองฝ่าย

ต่อมาจำเลยทั้งสามผิดนัด โจทก์จึงขอให้ศาลออกหมายบังคับคดียึดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 3 ที่จำนองไว้ออกขายทอดตลาดได้เงินไม่พอชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์จึงขอให้ศาลยึดที่ดินโฉนดที่ 795 ซึ่งไม่ใช่ทรัพย์ที่จำนองมาเพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้อีก ศาลฎีกาเห็นว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 1 มีข้อความชัดแจ้งว่า จำเลยทั้งสามยอมตกลงชำระหนี้ 311,901.29 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ภายในเวลาที่กำหนดไว้ ถ้าผิดนัดยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันทีรวมทั้งบังคับเงินจำนวนดังกล่าวได้ด้วย และตามสัญญาประนีประนอมยอมความก็มิได้กล่าวไว้ว่า โจทก์จะบังคับเอาชำระหนี้ได้แต่เฉพาะทรัพย์สินที่ได้จำนองกันไว้ ดังนั้น โจทก์จึงชอบที่จะบังคับเอาชำระหนี้ตามคำพิพากษาจากทรัพย์ใด ๆ ของจำเลย ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ส่วนสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2. ที่ว่า โจทก์ตกลงตามข้อ 1 และไม่ติดใจเรียกร้องอะไรจากจำเลยต่อไปนั้น ก็หมายความแต่เพียงว่า โจทก์จะไม่เรียกร้องเงินนอกเหนือไปจากจำนวนที่ตกลงกันไว้ในข้อ 1. เท่านั้น และเห็นว่าการที่โจทก์เจ้าหนี้ฟ้องบังคับจำนองจำเลยลูกหนี้ที่ยอมรับผิดชดใช้เงินกู้จนครบ ต่อมาเจ้าหนี้ลูกหนี้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยลูกหนี้ยอมชำระเงินให้เจ้าหนี้ 311,901.29 บาท พร้อมดอกเบี้ยและศาลพิพากษาตามยอม ก็หมายความได้แต่เพียงว่า ยังไม่พอบังคับตามสัญญาจำนองเท่านั้น มิใช่เป็นการปลดจำนองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 744(2) ฉะนั้น เมื่อลูกหนี้ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความมีการบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์ที่จำนองไม่พอชำระหนี้ เจ้าหนี้ย่อมบังคับเอาทรัพย์อื่นนอกเหนือจากที่จำนองไว้ได้ หาได้หมายความหรือเป็นการยกเลิกลบล้างข้อเรียกร้องตามคำขอท้ายฟ้องให้หมดไป และโจทก์จะบังคับชำระหนี้ได้แต่เพียงทรัพย์ที่จำนองเท่านั้นไม่

พิพากษายืน

Share