คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 154/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงไปทางกลุ่มลูกค้าที่อยู่ในร้านขายอาหารซึ่งมีประมาณ 20 คน โดยไม่ใยดีว่ากระสุนปืนจะถูกใครหรือไม่ แม้จะเป็นการยิงเพียงนัดเดียวก็อาจถูกผู้อื่นถึงแก่ความตายได้ ทั้งกระสุนปืนดังกล่าวถูกต้นขาขวาของเด็กคนหนึ่งจึงเป็นการกระทำที่ย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น เป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรคสอง จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองมีอาวุธปืนพกออโตเมติกไม่ปรากฏว่ามีเครื่องหมายทะเบียนหรือไม่ ซึ่งใช้ยิงได้ 1 กระบอก และกระสุนปืนขนาด .22 ไม่ทราบจำนวน ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ตามกฎหมาย จำเลยทั้งสองพาอาวุธปืนดังกล่าวติดตัวไปในร้านอาหารไม่มีชื่อ อันเป็นเมืองหมู่บ้านและทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรและโดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว จำเลยทั้งสองยิงปืนดังกล่าวซึ่งใช้ดินระเบิดคนละ 1 นัด โดยใช่เหตุในเมืองหมู่บ้านและที่ชุมชน และจำเลยที่ 2 ใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงเข้าไปในร้านอาหารของนางคำขวัญ วงศ์วัน 1 นัด โดยเจตนาฆ่าบุคคลหนึ่งบุคคลใดภายในร้านดังกล่าว ปรากฏว่ากระสุนปืนถูกเด็กหญิงเพ็ญพรวงศ์วัน ที่บริเวณต้นขาขวาเป็นบาดแผล จำเลยที่ 2 ลงมือกระทำความผิดแล้วแต่ไม่บรรลุผล ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80, 371, 376, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72,72 ทวิ ริบของกลาง

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 8 เดือน และปรับ 4,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 8 เดือน ฐานพาอาวุธปืนไปในเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 6 เดือน และปรับ 2,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 6 เดือน นอกจากนี้จำเลยที่ 2 ยังมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 376 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษเช่นเดียวกันฐานยิงปืนโดยใช่เหตุจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 9 วัน ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 10 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี 2 เดือน และปรับ 6,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 รวม 11 ปี 2 เดือน 9 วัน จำเลยที่ 1 เบิกความต่อศาลรับว่านำอาวุธปืนจากผู้อื่นมาพกไว้ จำเลยที่ 2 เบิกความรับว่านำอาวุธปืนจากจำเลยที่ 1 มาและใช้ยิงถือว่าเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยทั้งสองคนละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 9 เดือน 10 วัน และปรับ 4,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด7 ปี 5 เดือน 16 วัน ปลอกกระสุนปืน 1 ปลอก ของกลางเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิดจึงให้ริบ ส่วนข้อหาว่าจำเลยที่ 1 ยิงปืนโดยใช้เหตุให้ยก

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น

โจทก์และจำเลยที่ 2 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยที่ 2 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 1 และพวกกับลูกค้าที่เข้ามารับประทานอาหารในร้านขายอาหารของนางคำขวัญ วงศ์วัน ประมาณ 20 คน ได้เกิดการชุลมุนต่อยกันขึ้นภายในร้าน ในขณะนั้นเองจำเลยที่ 2 ซึ่งยืนอยู่ที่หน้าประตูร้านได้ยิงปืนออกไปนอกร้าน 1 นัด แล้วจำเลยที่ 2 ถืออาวุธปืนเดินออกไปที่หน้าร้าน จากนั้นก็ได้มีเสียงปืนดังขึ้นอีก 1 นัด ปรากฏว่าเด็กหญิงเพ็ญพร วงศ์วัน ซึ่งยืนดูเหตุการณ์อยู่ที่หลังร้านได้รับบาดเจ็บเป็นแผลที่ต้นขาขวา ลักษณะเป็นแผลถลอกมีเลือดไหลออกมา คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 2 กระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นหรือไม่ โจทก์มีนางคำขวัญมารดาของเด็กหญิงเพ็ญพร เป็นประจักษ์พยานเบิกความยืนยันว่า เมื่อจำเลยที่ 2 ได้อาวุธปืนคืนมาจากจำเลยที่ 1 แล้วก็ตะโกนบอกลูกค้าที่กำลังชกต่อยกันอยู่ในร้านว่า “ทุกคนอย่ายุ่ง” พร้อมกับถืออาวุธปืนส่ายไปมาแล้วก็ยิงปืนแต่กระสุนปืนไม่ลั่น จำเลยที่ 2เดินไปยืนอยู่ที่ประตูหน้าร้านและดึงลูกเลื่อนยิงปืนออกไปนอกร้าน 1 นัดจากนั้นจำเลยที่ 2 เดินออกไปหน้าร้านยิงปืนเข้ามาในร้าน 1 นัด ลูกกระสุนปืนถูกเด็กหญิงเพ็ญพร ที่บริเวณขาขวา กับได้ความจากคำเบิกความของเด็กหญิงเพ็ญพร ผู้เสียหายพยานโจทก์อีกปากหนึ่งว่า ขณะที่พยานยืนอยู่ที่หลังร้านเห็นจำเลยที่ 2 ถืออาวุธปืนอยู่ และได้พูดขึ้นว่า “ใครไม่เกี่ยวห้ามยุ่ง” จำเลยที่ 2 ยิงปืนออกไปนอกร้าน 1 นัด และขณะที่มีการชกต่อยกันอย่างชุลมุนอยู่ในร้านจำเลยที่ 2 ได้ยิงปืนเข้ามาในร้านอีก 1 นัด พยานตกใจวิ่งหนี ต่อมาจึงรู้สึกเจ็บที่ต้นขาขวาและมีเลือดไหลออกมาจากบาดแผล มารดาพยานจึงนำส่งโรงพยาบาล เห็นว่า นางคำขวัญและเด็กหญิงเพ็ญพรพยานโจทก์สองปากนี้รู้จักกับจำเลยที่ 2 เป็นอย่างดีทั้งข้อเท็จจริงยังได้ความจากเด็กหญิงเพ็ญพรพยานโจทก์อีกว่า จำเลยที่ 2 มาที่ร้านเป็นประจำและช่วยเหลืองานในร้านเป็นครั้งคราวจำเลยที่ 2 นับถือบิดามารดาพยานเสมือนเป็นบิดามารดาของตนและพยานเองก็นับถือจำเลยที่ 2 เป็นพี่ ฉะนั้น กรณีจึงน่าเชื่ออย่างยิ่งว่า พยานโจทก์ทั้งสองปากดังกล่าวเบิกความตามที่ได้รู้เห็นมาจริงโดยไม่มีเหตุที่จะแกล้งปรักปรำจำเลยที่ 2 ให้ต้องได้รับโทษแต่อย่างใดมีแต่พยายามเบิกความช่วยเหลือจำเลยที่ 2 ในบางส่วนโดยเฉพาะนางคำขวัญนั้นก็เบิกความว่า ไม่อยากเอาเรื่องกับจำเลยทั้งสอง นอกจากนี้แล้วข้อเท็จจริงยังได้ความจากคำเบิกความของสิบตำรวจเอกสันติ โหราจันทร์ พยานโจทก์ผู้จับกุมจำเลยทั้งสองว่า ในคืนเกิดเหตุ พยานจับจำเลยที่ 2 ได้ภายในเวลา 5 นาที หลังเกิดเหตุพยานเห็นบาดแผลของเด็กหญิงเพ็ญพร เพราะเด็กหญิงเพ็ญพรนุ่งกางเกงขาสั้นลักษณะบาดแผลเป็นวงกลมเหมือนมีสิ่งของมาทิ่มและมีเลือดไหลซึมเล็กน้อย ทั้งนางคำขวัญ และเด็กหญิงเพ็ญพรบอกพยานว่าบาดแผลดังกล่าวเกิดจากกระสุนปืน ร้อยตำรวจเอกตรัยฤกษ์ ปัญญาไตรรัตน์ พนักงานสอบสวนพยานโจทก์อีกปากหนึ่งก็เบิกความยืนยันว่า จำเลยที่ 2 ให้การรับว่าตนยิงปืนที่บริเวณหน้าร้านเกิดเหตุ 2 นัด แต่อ้างว่ายิงไปนอกร้าน ส่วนบาดแผลที่บริเวณต้นขาขวาของเด็กหญิงเพ็ญพรนั้น มีลักษณะเป็นรอยกระสุนปืนเฉี่ยว และเมื่อนางคำขวัญกับเด็กหญิงเพ็ญพรไปให้ปากคำต่อพยานในวันเกิดเหตุ เด็กหญิงเพ็ญพรยังคงนุ่งกางเกงขาสั้น ซึ่งสามารถมองเห็นบาดแผลได้ ประกอบกับนายแพทย์ชัยยุทธ ต่างใจพยานโจทก์ซึ่งเป็นแพทย์ผู้ตรวจร่างกายเด็กหญิงเพ็ญพรก็เบิกความในข้อนี้ว่าบาดแผลของเด็กหญิงเพ็ญพรอาจเกิดจากถูกกระสุนปืนเฉี่ยวได้ เห็นว่า พยานโจทก์เหล่านี้ล้วนเป็นเจ้าพนักงานได้รู้เห็นเหตุการณ์เนื่องจากปฏิบัติงานตามหน้าที่ ทั้งพยานไม่เคยรู้จักและไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 2 มาก่อน จึงน่าเชื่อว่าพยานดังกล่าวได้เบิกความตามสัตย์จริง พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงน่าเชื่อถือ ที่จำเลยที่ 2 นำสืบต่อสู้ว่าจำเลยที่ 2 ยิงปืนขึ้นฟ้า 1 นัด เพื่อจะหยุดเหตุการณ์ชกต่อยกันอย่างชุลมุนภายในร้าน จากนั้นนายสง่าสามีเจ้าของร้านได้เข้ามากอดแย่งอาวุธปืนทำให้ปืนลั่นอีก 1 นัด นั้นไม่มีเหตุผลน่าเชื่อฟัง เพราะในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 2 ได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนว่าตนได้ยิงปืนออกนอกร้าน 2 นัด โดยมิได้กล่าวอ้างว่าถูกบุคคลอื่นใดเข้าแย่งอาวุธปืนจนเป็นเหตุให้ปืนลั่นขึ้นแต่อย่างใดพยานหลักฐานของจำเลยที่ 2 จึงไม่มีน้ำหนักพอที่จะหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงแห่งคดีฟังได้ว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ยิงปืนเข้าไปในร้านที่เกิดเหตุ 1 นัด และกระสุนปืนเฉี่ยวถูกต้องขาขวาของเด็กหญิงเพ็ญพร ซึ่งยืนดูเหตุการณ์อยู่ที่หลังร้าน ส่วนที่กระสุนปืนไม่ถูกผู้อื่นที่ชุลมุนชกต่อยกันอยู่นั้นก็อาจเป็นเพราะจำเลยที่ 2 ยิงปืนไม่แม่น ซึ่งจำเลยที่ 2 เองก็เบิกความว่า จำเลยที่ 2 ไม่เคยยิงปืนมาก่อนเลย โดยเฉพาะเด็กหญิงเพ็ญพรนั้น ขณะเกิดเหตุนุ่งกางเกงขาสั้น ซึ่งเชื่อว่าขากางเกงไม่ได้ยาวลงไปจนถึงหัวเข่า ฉะนั้นเมื่อกระสุนปืนเฉี่ยวที่ต้นขาขวากางเกงที่เด็กหญิงเพ็ญพรนุ่งอยู่จึงไม่มีรอยฉีกขาดให้เห็น ดังนั้นการที่จำเลยที่ 2 ใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงไปทางกลุ่มลูกค้าที่อยู่ในร้านซึ่งมีประมาณ 20 คน โดยไม่ใยดีว่ากระสุนปืนจะถูกใครหรือไม่ แม้จะเป็นการยิงเพียงนัดเดียวก็อาจถูกผู้อื่นถึงแก่ความตายได้ ทั้งกระสุนปืนดังกล่าวถูกต้นขาขวาของเด็กหญิงเพ็ญพร จึงเป็นการกระทำที่ย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น เป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรคสอง จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องมานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นและให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share