แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
หลักฐานการเสียภาษีบำรุงท้องที่ยังไม่พอฟังว่าผู้เสียภาษีเป็นเจ้าของหรือผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินเสมอไป การเป็นเจ้าของหรือผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินต้องดูจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏหากผู้เสียภาษีมิได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามความเป็นจริงแล้วก็ไม่อาจมีสิทธิครอบครองที่ดินได้
สัญญาซื้อขายที่ดินที่จำเลยแนบมาท้ายฎีกาและขอให้สืบพยานใหม่นั้น มิได้เข้าสู่สำนวนคดีโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่มีโอกาสหักล้างข้อเท็จจริงหรือโต้แย้งเอกสารดังกล่าวได้ ทำให้โจทก์เสียเปรียบในการต่อสู้คดี เอกสารดังกล่าวอยู่ในความครอบครองของจำเลยฝ่ายเดียวมาตลอด จำเลยย่อมรู้ถึงความมีอยู่ของเอกสารตั้งแต่แรกที่โจทก์ฟ้องคดี แม้จะค้นหาเอกสารไม่พบก็อาจดำเนินการอื่นตามกฎหมายได้ การที่จำเลยยื่นเอกสารดังกล่าวในชั้นฎีกาโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายและไม่ใช่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จึงไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ ทั้งศาลชั้นต้นสืบพยานของคู่ความเสร็จและพิพากษาคดีแล้วกรณีไม่มีเหตุจะให้สืบพยานจำเลยใหม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นน้องนางเนียม จันทร์สระคู มารดาสามีจำเลย เดิมที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 509 หมู่ที่ 1 ตำบลสระคู อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด เนื้อที่ 44 ไร่ ของนายสงค์ จันทร์บุญมี บิดาโจทก์ โดยแจ้งการครอบครองไว้เมื่อปี 2498 ต่อมานายสงค์ถึงแก่กรรมทายาททุกคนตกลงแบ่งปันที่ดินดังกล่าว โจทก์ได้รับที่ดินพิพาทเนื้อที่ 1 ไร่ 1 งาน11 ตารางวา และเข้าครอบครองทำประโยชน์ตลอดมา ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอออกโฉนดที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย โจทก์คัดค้านการขอออกโฉนดจำเลยจึงขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินพิพาท โจทก์ไม่สามารถครอบครองที่ดินพิพาทได้ตามปกติ ขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทตามแผนที่ท้ายบันทึกคำชี้แจงเรื่องการตรวจและชี้แผนที่ระวางของช่างรังวัดภายในบริเวณที่ดินที่ขอออกโฉนดเนื้อที่ 1 ไร่ 1 งาน11 ตารางวา เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 เป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นของนายสงค์จันทร์บุญมี ต่อมานายสงค์ยกที่ดินพิพาทให้โจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ ปี 2514 โจทก์ขายที่ดินพิพาทให้นายจำนงค์ จันทร์สระคูสามีจำเลย นายจำนงค์และจำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2539 โจทก์นำต้นไม้เข้าไปปลูกในที่ดินพิพาท และวันที่ 5 กันยายน 2539 โจทก์นำต้นกล้าข้าวเข้าไปปักดำในที่ดินพิพาท จำเลยห้ามแล้วแต่โจทก์เพิกเฉยที่ดินพิพาทหากให้เช่าจะได้ค่าเช่าปีละ 20,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง และบังคับโจทก์รื้อถอนต้นไม้หรือสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินพิพาท ห้ามโจทก์เกี่ยวข้องกับให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายปีละ 20,000 บาท ตั้งแต่ปี 2539 จนกว่าโจทก์จะนำสิ่งของออกจากที่ดินพิพาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า เมื่อปี 2518 นางเนียมพี่โจทก์ขอออกโฉนดที่ดินของนางเนียมและให้ถ้อยคำต่อช่างแผ่นที่ผู้ทำการรังวัดเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2518 ว่าที่ดินพิพาทอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของที่ดินแปลงใหญ่เป็นของโจทก์ และโจทก์ให้ถ้อยคำรับรองแนวเขตที่ดินของนางเนียมไว้เป็นหลักฐาน จำเลยอ้างว่าโจทก์ขายที่ดินพิพาทให้นายจำนงค์และจำเลยเข้าครอบครองเป็นเจ้าของทำประโยชน์ตั้งแต่ปี 2514 จึงไม่เป็นความจริง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ระหว่างพิจารณา จำเลยถึงแก่กรรม นายคงศักดิ์ จันทร์สระคูทายาทของจำเลยยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามแผนที่ท้ายบันทึกคำชี้แจงเรื่องตรวจและชี้แผนที่ระวาง เนื้อที่ประมาณ1 ไร่ 1 งาน 11 ตารางวา เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 หรือ จ.5 แผ่นที่ 2ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาโจทก์ถึงแก่กรรม นางทองสุข จันทร์บุญมีทายาทของโจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์ภาค 4อนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่าโจทก์และนางเนียม จันทร์สระคู เป็นบุตรนายสงค์ จันทร์บุญมี นางเนียมเป็นมารดานายจำนงค์ จันทร์สระคู สามีจำเลย นายสงค์เป็นเจ้าของที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 509 หมู่ที่ 1 ตำบลสระคูอำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด เอกสารหมาย จ.1 ต่อมามีถนนปัทมานนท์ตัดผ่านทำให้ที่ดินดังกล่าวแบ่งออกเป็น 2 แปลง แปลงหนึ่งอยู่ด้านทิศตะวันออกและอีกแปลงหนึ่งอยู่ด้านทิศตะวันตกของถนนดังกล่าวโดยที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินแปลงด้านทิศตะวันตกทางทิศใต้เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ ตามแผนที่ท้ายบันทึกคำชี้แจงเรื่องตรวจและชี้แผนที่ระวางเอกสารหมาย จ.5 แผ่นที่ 2 ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่าจำเลยเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ ในปัญหาดังกล่าวโจทก์และจำเลยเบิกความรับตรงกันว่า เดิมโจทก์เป็นเจ้าของและครอบครองทำประโยชน์ที่ดินพิพาท คงมีข้อโต้เถียงกันว่าโจทก์ครอบครองเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทตลอดมาหรือโจทก์ได้ขายที่ดินพิพาทให้แก่นายจำนงค์สามีจำเลยแล้ว พยานโจทก์มีตัวโจทก์ นายเพ็ง ทองทิพย์ อดีตผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านซึ่งที่ดินพิพาทตั้งอยู่ระหว่างปี 2520 ถึงปี 2530 นายสวัสดิ์ กลางคารเจ้าของที่ดินที่อยู่ติดกับที่ดินพิพาท นางนวล เสนาริน และนายสำลีวลัยศรี เบิกความว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทและเข้าทำประโยชน์โดยทำนาตลอดมาไม่เคยเห็นนายจำนงค์สามีจำเลยและจำเลยเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท ปัจจุบันโจทก์ทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทนอกจากนี้โจทก์และนายสุพิน จันทร์ภิรมย์ เจ้าพนักงานที่ดินยังเบิกความว่า ในปี 2518 นางเนียมได้ขอออกโฉนดที่ดินที่ได้รับมาทางด้านทิศเหนือของที่ดินพิพาท และนางเนียมก็ให้ถ้อยคำต่อช่างแผนที่ผู้ทำการรังวัดและลงลายมือชื่อยอมรับว่าที่ดินด้านทิศใต้ของที่ดินนางเนียมเป็นของโจทก์ เมื่อพิจารณาเอกสารหมาย จ.2 ซึ่งเป็นบันทึกถ้อยคำของนางเนียมที่ขอออกโฉนดที่ดินดังกล่าวก็ระบุว่าที่ดินข้างเคียงด้านทิศใต้และทิศตะวันออก (ที่ดินพิพาท) เป็นของโจทก์และโจทก์ได้ให้ถ้อยคำต่อช่างแผนที่ผู้ทำการรังวัดตามเอกสารหมาย จ.3 ในฐานะเจ้าของที่ดินข้างเคียง (ที่ดินพิพาท) ไม่คัดค้านการขอออกโฉนดที่ดินของนางเนียมส่วนจำเลยมีนายคงศักดิ์ จันทร์สระคู บุตรชายจำเลย นายอุทรสระคำจันทร์ นายยอด จันทร์สระคู น้องสามี จำเลยเบิกความว่านายจำนงค์สามีจำเลยซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์เมื่อประมาณ 20 ปีมาแล้วนายจำนงค์และจำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมาโจทก์เพิ่งจะเข้าทำนาในที่ดินพิพาทภายหลังจากที่นายจำนงค์ถึงแก่ความตายแล้ว นายจำนงค์เป็นผู้เสียภาษีบำรุงท้องที่ที่ดินพิพาท เห็นว่าพยานโจทก์เบิกความสอดคล้องตรงกันกับพยานเอกสารหมาย จ.2 และจ.3 ซึ่งเป็นบันทึกถ้อยคำของนางเนียมและตัวโจทก์ที่ได้ให้ไว้แก่ช่างแผนที่ผู้ทำการรังวัดในปี 2518 ขณะนางเนียมขอออกโฉนดที่ดินของนางเนียมทั้งเอกสารหมาย จ.2 และ จ.3 เป็นเอกสารราชการที่เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ได้จัดทำขึ้นในการปฏิบัติหน้าที่จึงมีน้ำหนักที่จะเชื่อถือรับฟังได้ ซึ่งข้อความตามเอกสารดังกล่าวระบุยืนยันว่าในปี 2518 โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทที่จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า โจทก์ขายที่ดินพิพาทให้แก่นายจำนงค์ในปี 2514ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในเอกสารดังกล่าว คำเบิกความของพยานจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักพอที่จะรับฟัง โจทก์นำสืบว่า ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของนายสงค์บิดาโจทก์ที่โจทก์ได้รับมาจากการแบ่งปันกันในระหว่างทายาท ส่วนคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยระบุว่านายสงค์ยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์และโจทก์ครอบครองต่อมาจนถึงปี 2514 แล้วจึงขายให้แก่นายจำนงค์ แต่นายประยูร ภูวชินพงษ์ และนายยอดพยานจำเลยเบิกความว่า ที่ดินพิพาทเป็นของนางเนียมประมาณช่วงปี 2514 ถึง 2519 นางเนียมยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์เพราะเห็นว่าโจทก์ไม่มีที่ดินที่จะทำกิน ทางนำสืบของจำเลยจึงขัดแย้งกับคำให้การและคำฟ้องแย้งของจำเลยฟังไม่ได้แน่นอนว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์มาแต่แรกหรือเป็นที่ดินที่นางเนียมยกให้ภายหลัง พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีเหตุผลน่าเชื่อมากกว่าว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่โจทก์ได้รับมรดกมาจากนายสงค์และที่จำเลยอ้างว่าครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาโดยมีพยานจำเลยรู้เห็นยืนยัน ก็ปรากฏว่าพยานจำเลยดังกล่าวล้วนเป็นญาติใกล้ชิดสนิทสนมกับจำเลยทั้งสิ้น จึงอาจจะเบิกความเข้าข้างหรือเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่จำเลยก็ได้และหากโจทก์เข้ามาแย่งทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยจำเลยมิได้ยินยอมดังที่จำเลยอ้าง จำเลยก็น่าจะห้ามปรามหรือดำเนินการอย่างใดเพื่อรักษาสิทธิและประโยชน์ของจำเลยมิให้เสียหายแต่ปรากฏว่าจำเลยเพียงแต่ไปแจ้งเหตุให้นายอุทรผู้ใหญ่บ้านทราบเพื่อให้โจทก์ออกจากที่ดินพิพาทเท่านั้น เมื่อโจทก์ไม่ยอมออกจากที่ดินพิพาทตามที่นายอุทรบอก ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ดำเนินการอย่างใดข้ออ้างของจำเลยที่ว่าเป็นฝ่ายครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมาจึงไม่น่าเชื่อถือ และที่จำเลยอ้างว่าจำเลยเป็นฝ่ายเสียภาษีบำรุงท้องที่สำหรับที่ดินพิพาทนั้น เห็นว่า หลักฐานการเสียภาษีดังกล่าวยังไม่พอรับฟังว่าผู้เสียภาษีต้องเป็นเจ้าของหรือผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินเสมอไป การเป็นเจ้าของหรือผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินต้องดูจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏ หากผู้เสียภาษีมิได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามความเป็นจริงแล้ว ก็ไม่อาจมีสิทธิครอบครองที่ดินได้ ที่จำเลยฎีกาว่า ความจริงแล้วนายจำนงค์ซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์ในปี 2519 ตามสัญญาซื้อขายที่ดินที่จำเลยแนบมาท้ายฎีกาและขอให้สืบพยานใหม่นั้น เห็นว่า เอกสารดังกล่าวมิได้เข้ามาสู่สำนวนคดี โดยชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายจำเลยนำเสนอแนบท้ายฎีกา โจทก์จึงไม่มีโอกาสที่จะหักล้างข้อเท็จจริงหรือโต้แย้งเอกสารดังกล่าวได้ ทำให้โจทก์เสียเปรียบในการต่อสู้คดีและเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยฝ่ายเดียวมาโดยตลอด ซึ่งจำเลยย่อมรู้ได้ถึงความมีอยู่ของเอกสารดังกล่าวมาแต่แรกที่โจทก์ฟ้องคดี แม้จำเลยจะค้นหาเอกสารดังกล่าวไม่พบ จำเลยก็อาจดำเนินการอื่นตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย จำเลยยื่นเอกสารในชั้นนี้โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายและไม่ใช่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจึงไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานของจำเลยได้ทั้งศาลชั้นต้นสืบพยานของคู่ความเสร็จและพิพากษาคดีแล้ว กรณีไม่มีเหตุที่จะให้สืบพยานจำเลยใหม่ได้ตามขอ พยานหลักฐานของโจทก์มีเหตุผลและมีน้ำหนักรับฟังได้ดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน