แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยกับพวกอีก 3 คนเข้าไปลักทรัพย์ในบ้านผู้เสียหาย ซึ่งมี ส. กับสามีนอนอยู่ในมุ้งบนบ้าน. ส. ตื่นและได้ยินเสียงคนร้ายพูดกันว่า ถ้าเจ้าของบ้านตื่นจะฆ่าให้ ตาย ส. จึงแกล้งนอนหลับ ส่วนสามีของ ส. ยังนอนหลับ อยู่จำเลยนั่งคุม ส. กับสามีของ ส. อยู่ข้างมุ้ง พวกของจำเลย ค้นหาทรัพย์ในบ้าน เมื่อได้ทรัพย์แล้วพา กันหลบหนีไป การที่จำเลยกับพวก พูดกันเองว่าถ้า เจ้าของบ้านตื่นจะฆ่าให้ตาย โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยกับพวก รู้ว่า ส. ตื่นและได้ยินข้อความที่จำเลยกับพวกพูดกัน เช่นนี้ ถือไม่ได้ว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาขู่เข็ญว่าจะ ใช้กำลังประทุษร้าย ส. การกระทำของจำเลยกับพวกไม่เป็น ความผิดฐานปล้นทรัพย์ คงเป็นเพียงความผิดฐานลักทรัพย์ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1), (7), (8)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีกสามคนได้ร่วมกันปล้นเอาทรัพย์หลายรายการของนายช้อย ผู้เสียหาซึ่งอยู่ในความครอบครองดูแลของนางสุกัญญา ไปโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐, ๓๔๐ ตรี, ๘๓ ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๑๔, ๑๕
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ วรรคสอง จำคุก ๑๕ ปี จำเลยรับสารภาพชั้นสอบสวนลดโทษให้หนึ่งในสามตามมาตรา ๗๘ จำคุก ๑๐ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓๕(๑), (๗), (๘) จำคุก ๔ ปี จำเลยรับสารภาพชั้นสอบสวน ลดโทษให้หนึ่งในสามตาม มาตรา ๗๘ จำคุก ๒ ปี ๘ เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์มีประจักษ์พยานปากเดียวคือนางสุกัญญา ซึ่งเบิกความว่าตนสะดุ้งตื่นขึ้นเนื่องจากได้ยินเสียงคนขึ้นมาบนบ้าน โดยมีเสียงกระดานดังออดแอดและเห็นแสงไฟฉายของคนร้ายฉายกราดไปทั่วบ้าน คนร้ายพูดกันว่า ถ้าเจ้าของบ้านตื่นจะฆ่าให้ตาย ตนจึงคงนอนเฉย ๆ อยู่ในมุ้ง ตามคำเบิกความของนางสุกัญญาดังกล่าวไม่ปรากฏว่าคนร้ายเจตนาทำให้เกิดเสียงดัง หรือพูดกันด้วยเสียงดังโดยประสงค์จะให้นางสุกัญญาหรือนายสุชาติสามีของนางสุกัญญารู้สึกตัวดังที่โจทก์อ้างในฎีกาแต่อย่างใด ขณะที่คนร้ายพูดกันนั้นก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยหรือพวกคนร้ายคนใดได้รู้ว่านางสุกัญญาตืนอยู่แล้ว ถ้าคนร้ายประสงค์จะให้ฝ่ายเจ้าทรัพย์รู้สึกตัวก็น่าจะทำให้นายสุชาติตื่นขึ้นอีกคนหนึ่งด้วย แต่ข้อเท็จจริงกลับปรากฏว่านายสุชาติยังหลังอยู่ตลอดเวลาที่เกิดเหตุซึ่งนานประมาณ ๑ ชั่วโมง ตามพฤติการณ์จึงเป็นเรื่องที่จำเลยกับพวกพูดคุยกันเอง ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาที่จะให้นางสุกัญญารู้ตัวหรือได้ยินถ้อยคำที่จำเลยกับพวกพูดกันนั้น การที่จำเลยกับพวกพูดกันเองว่าถ้าเจ้าของบ้านตื่นจะฆ่าให้ตายโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยกับพวกรู้ว่านางสุกัญญาตื่นแล้ว และได้ยินข้อความที่จำเลยกับพวกพูดกันเช่นนี้ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายนางสุกัญญา การกระทำของจำเลยกับพวกคงเป็นเพียงความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕(๑), (๗), (๘)
พิพากษายืน