แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
อัยการฟ้อง ร. กับ ส. เป็นจำเลย หาว่าทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันและ ส. ฟ้อง ร. เป็นอีกสำนวนหนึ่งว่าทำร้ายร่างกายตน ศาลชั้นต้นสั่งรวมการพิจารณาพิพากษา แล้วพิพากษาลงโทษจำคุกและปรับ ร. แต่โทษจำคุกให้รอไว้ ส่วน ส. นั้นก็ให้ลงโทษปรับ กับยกฟ้องคดีที่ ส. เป็นโจทก์ส. แต่ผู้เดียวอุทธรณ์ทั้ง 2 สำนวนศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องคดีที่ ส. เป็นโจทก์เหมือนกัน แต่ให้แก้โทษของ ร. เป็นไม่รอการลงโทษจำคุก ดังนี้ หาชอบไม่ เพราะคดีเฉพาะตัว ร. จำเลยในสำนวนที่อัยการเป็นโจทก์นั้นถึงที่สุดแล้ว
ย่อยาว
คดีหมายเลขดำที่ 434/2510 (ของศาลชั้นต้น) นี้ ศาลชั้นต้นสั่งรวมการพิจารณาพิพากษากับคดีหมายเลขดำที่ 440/2510
ในคดีดำที่ 434/2510 โจทก์ฟ้องว่า จำเลยวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน เป็นเหตุให้ต่างได้รับอันตรายแก่กาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 83
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยานโจทก์ นายรุ่ง จำเลยที่ 1 รับสารภาพ
ส่วนคดีดำที่ 440/2510 นายหีดหรือสมพร เหล่ามาก เป็นโจทก์ฟ้องนายรุ่ง มาชะนาเป็นจำเลย ในกรณีเดียวกัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 297, 172, 173 ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่าคดีมีมูล นายรุ่งจำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นสั่งรวมการพิจารณาคดีสองเรื่องนี้ แล้วพิพากษาว่านายรุ่งจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ให้จำคุก 4 เดือน และปรับ 500 บาท รับสารภาพลดโทษให้ตามมาตรา 78 กึ่งหนึ่ง จำคุก 2 เดือนและปรับ 250 บาท โทษจำคุกให้รอไว้ภายใน 1 ปี ตามมาตรา 56 ให้ปรับนายสมพรหรือหีดจำเลย 250 บาท ถ้าไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามมาตรา 29, 30 และให้ยกฟ้องคดีที่นายหีดหรือสมพรเป็นโจทก์เสีย
นายหีดหรือสมพร โจทก์ในคดีดำที่ 440/2510 และจำเลยที่ 2ในคดีดำที่ 434/2510 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า นายรุ่งจำเลยมีความผิดตามมาตรา 295 ประกอบด้วยมาตรา 72 ให้จำคุก 4 เดือน รับสารภาพลดโทษให้ตามมาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 เดือน ส่วนนายสมพรจำเลยมีความผิดตามมาตรา 391 ให้ปรับ 200 บาท นอกจากที่แก้นี้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์มีความเห็นแย้งว่า ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจเพิ่มเติมโทษนายรุ่งจำเลย เพราะขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212
นายรุ่ง มาชะนา จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษนายรุ่งจำเลยนั้น เป็นการลงโทษในสำนวนคดีหมายเลขดำที่ 434/2510 ของศาลชั้นต้นเมื่อคดีดังกล่าวนั้นพนักงานอัยการโจทก์มิได้อุทธรณ์ คงมีแต่นายหีดหรือสมพรจำเลยอุทธรณ์ คดีเฉพาะตัวนายรุ่ง มาชะนา จำเลยตามสำนวนนี้จึงถึงที่สุด จึงต้องห้ามมิให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย แม้นายหีดหรือสมพรในฐานะโจทก์สำนวนคดีหมายเลขดำที่ 440/2510 จะได้อุทธรณ์ขอให้ลงโทษนายรุ่งจำเลยในสำนวนนั้นมาด้วย แต่ศาลอุทธรณ์ก็พิพากษายกฟ้องของนายหีดหรือสมพรเช่นเดียวกับศาลชั้นต้น จึงอ้างไม่ได้ว่านายหีดหรือสมพรอุทธรณ์ขอให้ลงโทษนายรุ่งจำเลยเพิ่มขึ้นในคดีซึ่งพนักงานอัยการแต่ฝ่ายเดียวเป็นโจทก์ และเป็นคนละคดีที่นายหีดหรือสมพรเป็นโจทก์
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เฉพาะส่วนที่พิพากษาเพิ่มเติมโทษนายรุ่ง มาชะนา จำเลยที่ 1 โดยให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น